วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Borescope Technology (Rigid Borescope & Flexible Borescope)

Borescope Technology

Rigid Borescope


The heart of a borescope design is the relay lens system. New endoGRINS® design has made that easier and less costly.



The first optical design used for relays was the achromatic doublet. A series of lens pairs form and reform images, each image the subject for the next relay set. The spacing between series is proportional to the diameter of the lenses, so this color-corrected design works quite well for larger diameter borescopes. The Hawkeye Blue rigid borescopes 5.8mm diameter and above use this design.
Small diameters borescopes using an achromatic doublet design need far too many lenses, too close together and image quality becomes poor.


The achromatic design was improved upon by H.H. Hopkins who patented a new design in 1966. H.H. Hopkins' design combined conventional lenses with short, optical-glass rods to give higher brightness, accentuated color, higher contrast, and sharper images when compared to the achromatic doublet relay of the same diameter. This conventional design is typically used in top of the line small diameter borescopes and is used in all Hawkeye Blue rigid borescopes under 5.8mm in diameter, resulting in superb image quality.


Gradient Lens Corporation developed the Hawkeye® Precision Borescope using endoGRINS® gradient index lenses, combined in a patented design of elegant simplicity and excellent optical quality. EndoGRINS lenses are longer optical glass rods treated in an ion exchange process. Cost savings are large. Expensive micro-lenses which had to be ground, polished, coated, and centered can simply be replaced with several glass rods. The Hawkeye borescopes were launched with quality and prices that guaranteed their success.

Flexible Borescope

Flexible and rigid borescopes have a lot in common. Each have objective lenses to form an image of the subject on the relay system. Each have eyepiece lenses to magnify the image from the relay system so you can see it.

The difference is in the relay itself.

To allow flexibility the image is carried from the objective lens to the eyepiece by a bundle of optical fibers, instead of a system of lenses. Light cannot escape through the side once it enters a fiber, so it follows the fiber around twists and bends.


The ends of the fibers must occupy precisely the same respective positions at both the lens and eyepiece ends, or the image would be "scrambled."


The resolution of a flexible borescope depends on the number of fibers and their diameter. More fibers of smaller diameter give higher resolution. They also increase the cost of the scope.

ขอบคุณที่มา Hawkeye Borescopes
นำเสนอข้อมูลโดย CH-Admin




วิธีใช้ผงชูรส ประโยชน์ และโทษของสารปรุงแต่ง? / Admin SD (Tonan Asia Autotech)

สารปรุงแต่งรสอาหาร ผงชูรสมีที่มาเริ่มจากในปี พ.ศ.2451 ศาสตราจารย์ ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล ประเทศญี่ปุ่น ค้นพบว่าผลึกสีน้ำตาลที่สกัดจากสาหร่ายทะเลที่ชื่อว่าคอมบุ คือ กรดกลูตามิก และเมื่อลองชิมพบว่ามีรสใกล้เคียงกับซุปสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นอาหารประจำวันของชาวญี่ปุ่นที่บริโภคกันมาหลายร้อยปี



จึงตั้งชื่อรสชาติของกรดกลูตามิกที่สกัดได้ว่า "อูมามิ" หลังจากนั้นได้จดสิทธิบัตรการผลิตกรดกลูตามิกในปริมาณมากๆ อันเป็นที่มาของอุตสาหกรรมผงชูรสในปัจจุบัน

ผงชูรสมีการขายในเชิงพาณิชย์ครั้งแรก ภายใต้ชื่อการค้าเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า อายิโนะโมะโต๊ะ หมายถึง แก่นแท้ของรสชาติ ผลิตโดยใช้วิธีการย่อยแป้งสาลีด้วยกรด เพื่อให้ได้กรดอะมิโนแล้วจึงแยกกลูตาเมตออกมาภายหลัง

กระบวนการผลิตในปัจจุบันเริ่มจากใช้ขบวนการย่อยสลายแป้งมันสำปะหลังทางเคมี โดยใช้กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟูริกที่อุณหภูมิ 130 องศาเซลเซียส จนได้สารละลายน้ำตาลกลูโคส จากนั้นผ่านกระบวนการหมักโดยใช้ยูเรียและเชื้อจุลินทรีย์จนได้แอมโมเนีย กลูตาเมต ส่งผ่านกระบวนการทางเคมีต่อโดยใช้กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก จนได้เป็นกรดกลูตามิก และผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีโดยใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์ จะได้สารละลายผงชูรสหยาบ นำไปผ่านขบวนการฟอกสีโดยใช้สารฟอกสี จนเป็นสารละลายผงชูรสใส แล้วผ่านขั้นตอนสุดท้ายด้วยการทำให้ตกผลึกจนกลายเป็นผลึกผงชูรส

อาการแพ้ผงชูรส หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "ไชนีสเรสทัวรองซินโดรม" (Chinese Restaurant Syndrome) หรือ "โรคภัตตาคารจีน" เพราะร้านอาหารจีนมักใช้ผงชูรสกันมากนั่นเอง จะมีอาการชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก

ประโยชน์ผงชูรสคงแค่เพิ่มความอร่อย แต่มีโทษมหันต์ถ้ากินในปริมาณมากเกินไป กำหนดไว้ไม่ควรบริโภคเกิน 2 ช้อนชาต่อวัน

หากบริโภคมากเกินไปผงชูรสจะไปทำลายสมองส่วนควบคุมการเจริญเติบโต และระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำลาย ระบบประสาทตา สายตาเสีย ก่อให้เกิดมะเร็งได้โดยเฉพาะอาหารที่หมักผงชูรสแล้วนำไปปิ้ง ย่าง นอกจากนี้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ถ้าบริโภคมากเกินไปจะผ่านเยื่อกั้น ระหว่างรกภายในร่างกายของผู้เป็นมารดากับทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกในครรภ์ได้รับผลกระทบจากผงชูรสด้วย

วิธีการเลือกซื้อไม่ควรใช้ผงชูรสปลอม สังเกตจากตราประทับอย. และเลือกซื้อผงชูรสที่บรรจุในภาชนะที่ปิดผนึกอย่างเรียบร้อย

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=4230772818d8ccbb

ช็อกโกแลตซีสคืออะไร (Chocolate Cyst) / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

ช็อกโกแลตซีส

ปกติเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกจะต้องอยู่ในโพรงมดลูก มีหน้าที่สำคัญ คือ เป็นพื้นผิวสำหรับตัวอ่อนของทารกมาเกาะเพื่อการตั้งครรภ์ เซลล์เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง คือ มีการแบ่งตัวได้ตามการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศหญิง และมีการสลายตัวเป็นประจำเดือนตามรอบระดู ดังนั้นตามธรรมชาติ หากเซลล์เหล่านี้อยู่เฉพาะในโพรงมดลูกจะไม่เกิดปัญหา เนื่องจากร่างกายจะขับออกมาเป็นรอบเดือน แต่เมื่อเซลล์เหล่านี้ไปเจริญอยู่ในส่วนอื่น จึงก่อให้เกิดปัญหาได้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถขับออกมาได้ เช่น หากไปเกาะที่รังไข่ก็จะก่อตัวเป็นถุงน้ำซึ่งเป็ที่สะสมของเซลล์เหล่านี้และเลือดประจำเดือน และเมื่อสะสมอยู่นานจะกลายเป็นเลือดเก่า ๆ ที่เข้มข้นขึ้น ลักษณะจึงเหมือนน้ำช็อกโกแลต จึงเรียกถุงน้ำชนิดนี้ว่า ถุงน้ำช็อกโกแลต ( Chocolate Cyst)เซลล์เหล่านี้อาจจะกระจายเกาะอยู่ตามอุ้งเชิงกราน ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะมีบุตรยาก นอกจากนี้ยังอาจจะแทรกตัวเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของผนังมดลูก ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือน และเลือดประจำเดือนออกมากได้ อะไรคือสาเหตุของโรคนี้ ในปัจจุบันเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกนี้ไหลตามเลือดประจำเดือน เข้าไปในช่องท้องและไปก่อตัวเจริญเติบโตอยู่ภายในช่องท้อง จะไม่เหมือนกันในแต่ละคน บางคนเพียงแค่เกาะอยู่เฉย ๆ และเจริญเติบโตเฉพาะที่ บางคนเกาะแล้วกินลึกลงไปในเนื้อเรื่อย ๆ ทำให้เนื้อเยื่อปกติเสียไป เช่น เนื้อของมดลูก เนื้อของท่อนำไข่ เป็นต้นการพัฒนาตัวของโรคไม่เหมือนกันนั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบ จึงมีสมมุติฐานอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายถึงกลไกการเกิดโรคอีกเพิ่มเติม เช่น ความผิดปกติของภูมิต้านทาน แต่ละคนไม่เท่ากัน คนที่มีภูมิต้านทานดี เมื่อเซลล์เหล่านี้ไหลเข้าไปในช่องท้องก็จะถูกกำจัดออกไปได้โดยภูมิต้านทานของร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสมมุติฐานเกี่ยวกับสาเหตุจากสิ่งแวดล้อม มลภาวะ และกรรมพันธุ์อีกด้วย

อาการของโรค
     อาการของโรคนี้จึงขึ้นกับตำแหน่งที่เซลล์ไปเจริญเติบโตอยู่ โดยอาจลองแยกพิจารณาตามตำแหน่งที่โรคไปเจริญเติบโตอยู่ดังนี้

ตำแหน่งที่เกาะ
       • เยื่อบุช่องท้อง อุ้งเชิงกราน
       • รังไข่
       • มดลูก
อาการ
       • ปวดในช่องท้อง ท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกราน มีบุตรยาก
       • ถุงน้ำรังไข่ ( Chocolate cyst) ปวดท้องน้อย
       • ปวดประจำเดือน ประจำเดือนออกมาก
       • อาการปวดต่าง ๆ เหล่านี้ มักจะรุนแรงขึ้นขณะที่มีประจำเดือน หรือ ช่วงก่อน/ หลังมีประจำเดือน
       • ในรายที่เจริญที่รังไข่ อาจจะพบว่ามีก้อนในช่องท้อง จากถุงน้ำรังไข่ ที่โตขึ้นโดยไม่มีอาการแต่อย่างไรเลย
       • ในรายที่เป็นโรคระยะรุนแรงจะมีพังผืดเกิดขึ้นจำนวนมาก หรือท่อนำไข่ถูกทำลายไป จากเซลล์เหล่านี้เข้าไปเกาะหรือฝังตัวในท่อนำไข่ ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหามีบุตรยากได้

การตรวจวินิจฉัยโรค
      จากอาการและการตรวจภายใน แพทย์อาจจะพอบอกได้ว่าผู้ป่วยมีโรคนี้หรือไม่ หากยังสงสัยแพทย์จะทำการอัลตร้าซาวนด์ ตรวจดูอวัยวะในอุ้งเชิงกราน

By โรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต


ขอขอบคุณเนื้อหาและรูปภาพจาก
www.phuketbulletin.co.th

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสาวร็อคสู้จอเงิน / Admin SD (Tonan Asia Autotech)


พักจากความตึงเครียดในความเป็นจริงมาดูภาพยนตร์สนุกๆกันดีกว่าค่ะ Movie Mondayวันนี้นำเสนอภาพยนตร์นอกกระแสที่เข้าฉายในปี 2010แบบจำกัดโรง เป็นเรื่องราวประวัติของวงร๊อคหญิงล้้วนวงแรก เดอะ รันอะเวย์ส ซึ่งมีทั้งเนื้อหาของวัยรุ่นเกเร ยาเสพย์ติด ชื่อเสียงและจุดจบที่ทำให้พวกเธอต้องแยกวงจากกัน เรามาอ่านบทวิจารณ์และเรียนรู้คำศัพท์กันเลยค่ะ

The time passes; the seasons turn, summer turns to autumn and now Dakota Fanning and Kristen Stewart are playing rock chicks. And doing it pretty convincingly, what’s more – Stewart, anyway. This is the intriguingly low-key, unhappy story of the Runaways, the 1970s all-girl band fronted by singer Cherie Currie (Fanning), with Joan Jett (Stewart) providing guitar and rock’n’roll attitude. With a clump of black hair, leather jacket and high-waisted blue denims, Stewart has an eerie resemblance to Jett, and when in one scene she takes her top off facing away from the camera, her back looks as broad and muscular as a weightlifter’s.

วันเวลาผ่านไป ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ฤดูร้อนกลายเป็นฤดูใบไม้ร่วง และตอนนี้ดาโกต้า แฟนนิ่ง และคริสเทน สจว๊ตเล่นเป็นสาวร๊อค แล้วก็เล่นได้เนียนดีด้วย จะมีอะไรเสียอีกหละ ก็สจ๊วตซะอย่าง นี้เป็นเรื่องราวบ้านๆที่ไม่มีความสุขแต่ชวนติดตามของวง เดอะรันอะเวย์ส วงร๊อคหญิงล้วนในยุค 1970 นำโดยนักร้องนำ เฌอรีย์ คูรี่ (แสดงโดย แฟนนิ่ง) ร่วมด้วย โจน เจ็ท (แสดงโดย สจ๊วต) เล่นกีต้าร์และแนวคิดแบบ ร๊อคแอน์โรล กับผมสีดำติดเป็นสังกะตัง แจ็กเก็ตหนัง และกางเกงยีนส์เอวสูงสจ๊วตมีส่วนหลอนอย่างประหลาดคล้ายกับเจ็ท และในฉากหนึ่งที่เธอถอดเสื้อออกหันหน้าไปคนละทางกับกล้อง เผยให้เห็นแผ่นหลังกว้างและกำยำอย่างกับหลังของนักยกน้ำหนัก

In 1975, Jett finds herself hanging out at Rodney’s English Disco in Los Angeles, where the kids are getting into David Bowie and glam rock, getting off on Do You Wanna Touch Me. (Maybe period drama is now the only acceptable context for remembering Gary Glitter.) Here Jett meets bullying, mercurial pop mogul Kim Fowley (Michael Shannon), a bizarre figure who combines dandyish hair and fluttering mannerisms with boorish, bullying heterosexuality. He likes the idea of a girl band, and seeing Cherie hanging out by the bar, recruits her solely on the basis of her moody Bardot chops.

ในปี 1975 เจ็ทได้พบ่าตนเองขลุกอยู่ที่ ร๊อดนียส์ ดิสโก้ผับสไตล์อังกฤษใน ลอส แองเจลีส ที่ที่เด็กๆนิยมฟัง เดวิด โบวี่ และเพลงแนว แกลมร๊อค เต้นไปกับเพลง Do You Wanna Touch Me (บางทีความดราม่ายุคนี้อาจจะเป็นเนื้อเรื่องที่เรารัได้ส่วนเดียวที่ทำให้เราจำ Gary Glitter ได้) ที่นี่ เจ็ทได้พบกับ เจ้าพ่อเพลงป๊อปอารมณ์แปรปรวนสุดนักเลง คิม โฟวลีย์ (แสดงโดย ไมเคิล แชนนอน) คนประหลาดที่รวมเอาทรงผมเรียบหรู แลดูฉุยฉายกับความมารยาททราม นักเลง และน่าดึงดูดต่อเพศตรงข้ามไว้ในคนเดียวกัน เขาชอบไอเดียของวงดนตรีหญิงล้วน และได้เห็น เฌอรีย์นั่งเล่นอยู่ที่บาร์ และนำเธอมาเข้าร่วมวงเพราะดูจากทรงผมสไตล์บริจิต บาร์โด แบบยุ่งๆของเธอ

The film, from Italian music video director Floria Sigismondi, shows how the aggressive girl-band both grew out of the English androgynous rock scene and was also a reaction against it. Fowley sometimes affects to be irritated by these limp, fey mascara’d limeys, demanding the Runaways show some balls. Yet it was the pioneering gender-bending glam-rockers who somehow created the circumstances for an in-your-face female rock band, making an incursion into the macho rock’n’roll world.

ภาพยนตร์จากผู้กำกับมิวสิควีดีโอชาวอิตาเลี่ยน ฟลอเรีย ซิกิสมอนดิ แสดงให้เห็นถึงภาพของวงหญิงห้าวที่โตขึ้นจากวงร๊อคเด็กกะโปโลสไตล์อังกฤษและกลายเป็นต่อต้านมัน บางครั้งโฟวลีย์ก็น่ารำคาญเพราะผลจากการเดินขาเป๋ของเขา ชายหน้าตาบ้าหลุดโลก ที่ต้องการให้วง รันอะเวย์สดูกล้ากร้านโลก แต่นั่นก็เป็นการบุกเบิกให้เกิดการลดช่องว่างทางเพศในหมู่ชาวแกลมร๊อค ซึ่งบางทีอาจทำให้เกิดโอกาสสำหรับวงสาวร๊อคสุดขั้ว ทำให้บุกเข้าไปในโลกร๊อคแอนด์โรลอันบึกบึน

Art Linson is the co-producer of this engaging, small-scale film; he is famously the author of the Hollywood memoir What Just Happened? in which he recounts the agony of seeing much-cherished projects getting buried or neglected by the studio. One of these was 2000′s Sunset Strip, his 70s rock movie that died a box office death. Maybe The Runaways is Linson’s way of showing that he can make a success of this subject, and I think he has done, with a film that shows how brutal and sexist rock’n’roll is. There are some cliches (drugs on tour, montage of the band climbing the charts) and perhaps Fanning looks a little fragile, but the film interestingly and sympathetically shows the human cost to Jett and Currie, who could never quite be sure if they had reached the promised land of stardom or not.

อาร์ท ลินสัน โคโปรดิวเซอร์ของหนังฟอร์มเล็กน่าดูเรื่องนี้นั้นเป็นนักเขียนชื่อดังจากหนังสือรวมความทรงจำในฮอลลีวู๊ดชื่อ What Just Happened? ซึ่งเขายังคงหวนนึกถึงความโศกเศร้าจากการโครงการที่เขาเทิดทูนถูกทิ้งไว้ หรือหมางเมินจากสตูดิโอ หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์เรื่อง 2000’s Sunset Strip เป็นหนังแนวร๊อคยุค 70 ที่ขายตั๋วไม่ออกเลย บางทีเดอะ รันอเวย์สเป็นหนทางที่ลินสันจะแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำเรื่องราวลักษณะนี้สำเร็จ และฉันคิดว่าเขาทำสำเร็จแล้วด้วยภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงถึงความโหดร้ายและล่อแหลมทางเรื่องเพศของร๊อคแอนด์โรล ยังมีบางส่วนที่ซ้ำซากน่าเบื่อ (เล่นยาตอนทัวร์คอนเสริต การตัดต่อฉากของวงดนตรีไต่ขึ้นชาร์ต) และบางที แฟนนิ่งก็ดูบอบบางเกินไป แต่ภาพยนตร์ได้แสดงถึงกระแสชนที่มีผลกระทบต่อ เจ็ท และ คูรีย์ผู้ที่ไม่เคยรู้เลยว่าตนขึ้นสู่ธรรมเนียบดาราตามที่ได้รับคำสัญญาไว้หรือไม่อย่างน่าสนใจและน่าสงสาร


ขอขอบคุณแหล่งที่มา :  http://www.tellmemoreclub.com/monday-movie-the-runaways




คอร์สล้างพิษตับ เขาทำอะไรกันบ้าง? / Admin Poo (Tonan Asia Autotech)


ปฏิเสธได้ยากว่าพฤติกรรมการกินของเราทุกวันนี้ชวนสุขภาพเสื่อมถอยซะจริงๆ ไหนจะขั้นตอนการประกอบอาหารให้เสร็จเร็วทั้งผัด ทั้งทอด รวมทั้งวัตถุดิบที่ผ่านสารเคมีและกระบวนการเร่งโตนั่นอีก ก่อเกิดโรคภัยต่อระบบต่างๆ ในร่างกายได้ทั้งนั้น

ยุคนี้เราเลยต้องหันมาดูแลตัวเองให้มากๆ นอกจากการออกกำลังกายและรู้จักเลือกบริโภคแล้ว มีอีกหลายหนทางที่จะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ดีขึ้น ‘การ' ก็เป็นอีกทางหนึ่งในการดูแลและบำบัดตัวเอง
คอร์สล้างพิษตับ 3 วันที่เราเคยได้ยินได้เห็นดูจะเหมาะกับมือใหม่และคนเมืองเวลาน้อย แต่ก่อนเริ่มเข้าคอร์สก็ควรงดอาหารหนักหรือเนื้อสัตว์สักสัปดาห์ เพราะในคอร์สจะต้องอดอาหาร ถ้าอดกันทันทีทันใดอาจจะรู้สึกโหยได้ และแน่นอนว่าการสวนล้างลำไส้ (ดีท็อกซ์) เป็นส่วนหนึ่งในคอร์ส หลายคนไม่กล้าล้างพิษตับเพราะไม่กล้าสวน เราอยากจะบอกว่ามันไม่ยากและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดทำได้แล้วก็จะรู้สึกง่ายเลย ส่วนการล้างพิษตับจะเป็นอย่างไรนั้น Lisa ขอแชร์ประสบการณ์ฉบับสามวันแห่งการล้างพิษที่ขอบอกว่าไม่ธรรมดาเลย
ล้างพิษวันแรก
เราเริ่มกันที่หลังบ่ายสาม ที่เราจะงดอาหารจริงจังไม่กินอะไรแล้วแต่ดื่มน้ำได้ตามปกติ ตลอดคอร์สจะได้ดื่มน้ำด่าง (Alkaline Water) ซึ่งจะช่วยปรับสมดุล ลดความเป็นกรดในร่างกาย ก่อนเริ่มทีมงานก็จะให้ลงทะเบียนกรอกประวัติ ตรวจสุขภาพเบื้องต้นโดยวัดความดัน วัดความเป็นกรด ชั่งน้ำหนัก ใครมีโรคประจำตัวก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบไว้จะได้ดูแลกันได้ถูกวิธี ตอนเย็นๆ เราจะได้กินยาขับมูกเมือกเพื่อให้มูกเมือกที่เกาะผนังลำไส้มานานถูกขับถ่ายออกได้ง่ายขึ้น และเมื่อรับอุปกรณ์ดีท็อกซ์ก็แยกย้ายไปสวนล้างได้เลย ซึ่งเป็นน้ำอุ่นๆ ผสมน้ำต้มสะเดาสวนล้างลำไส้ โดยระหว่างวันเราจะได้รับสมุนไพรประเภทไฟเบอร์ให้ดื่มก่อนนอนและตอนเช้า ที่ช่วยขับถ่ายและช่วยประทังหิวได้ด้วย
ล้างพิษวันที่สอง
เราตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อสวนล้างลำไส้จนหกโมงเช้าทุกคนจะอมน้ำมันมะพร้าวก่อนแปรงฟัน วิธีคืออมและกลั้วในปากประมาณ 15-20 นาทีแล้วบ้วนทิ้ง เพื่อให้น้ำมันดึงสารพิษ และเชื้อโรคต่างๆ ออกมา จากนั้นก็ออกกำลังกายเบาๆ แล้วพักดื่มชาข้าวเปลือกอุ่นๆ ซึ่งควรดื่มให้ได้สัก 8 แก้วเพื่อช่วยลดไขมันและล้างระบบขับถ่าย ขณะดื่มชายังได้แช่เท้าในน้ำสมุนไพรร้อนๆ ช่วยถอนสารพิษอีกทางหนึ่ง และยังได้พอกหน้าด้วยสมุนไพรพวกขมิ้นและไพรอีกด้วย เสร็จแล้วหน้าใส ตัวเบา สบายเท้ากันเลยทีเดียว
หลังจากอาบน้ำเราจะได้ดื่มน้ำแอปเปิ้ลเขียวแยกกากทุกๆ หนึ่งชั่วโมง รวมแล้ว 5 แก้ว มีการนวด กดจุด และทำโยคะเบาๆ ก่อนช่วงเย็นที่ได้เวลาสวนล้างลำไส้กันอีกที และดื่มดีเกลือเพื่อช่วยขับถ่ายตอนค่ำ และช่วงเวลาสำคัญที่สุดคือสี่ทุ่มที่ทุกคนจะต้องดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ที่จะไปทำปฏิกิริยากับตับในการขับสารพิษออกมานั่นเอง
ล้างพิษวันที่สาม
เราตื่นหกโมงเช้ามาสวนล้างลำไส้กันอีกที คอร์สลักษณะนี้จะมีผู้มีความรู้มาตรวจดูของเสียที่ขับถ่ายออกมาเพื่อช่วยวิเคราะห์และให้ความรู้กับเรา (ว่าเราสะสมสารพิษประเภทไหนไว้มาก) เช้าวันนี้ได้กินอาหารเบาๆ อย่างข้าวต้มปลาและสุกี้น้ำ ก่อนที่เราจะสามารถกลับไปกินอาหารและใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ผู้เข้าล้างพิษตับยังควรสวนล้างลำไส้ที่บ้านเช้า-เย็นต่อเนื่องอีกสัก 7 วัน เพื่อให้ของเสียตกค้างออกมาให้หมด ความรู้สึกถึงภายในตอนนี้เหมือนได้รีเฟรชเลยทีเดียว หลังจากตรากตรำทำงานหนักมาตลอดชีวิต ผลพลอยได้ที่พบคือน้ำหนักลง หน้าใส สบายตัว คนที่เจ็บป่วยเป็นโรคประจำตัวใดๆ ก็ตามจะรู้สึกดีขึ้น เราได้ไอเดียกลับมาว่าจากนี้ต้องดูแลตัวเองให้ดี โดยเริ่มที่ต้นทาง ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต เพื่อที่โรคร้ายต่างๆ จะไม่กลับมาเยี่ยมเยือนเราอีกนั่นเอง
งานตรวจอุจจาระต้องมี!
การขับถ่ายหลังจากดื่มน้ำมันมะกอกนั้น จะแตกต่างจากอุจจาระปกติ เชื่อกันว่าเป็นของเสียที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดี ซึ่งของเสียของแต่ละคนก็จะมีลักษณะต่างกันไปขึ้นอยู่กับสุขภาพและของเสียสะสมของแต่ละคน

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

6 โรคฮิตบั่นทอนชีวิตคนเมือง! / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)


6 โรคฮิตบั่นทอนชีวิตคนเมือง! 


ออฟฟิศซินโดรม
ในสภาวะของสังคมเมืองยุคไอทีและเร่งรีบแบบนี้ ทำให้ชีวิตคนเมืองต้องแข่งขันกับเวลาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดความเครียดและปัญหาสะสมมากมาย อีกทั้งสภาพแวดล้อมรอบๆ ที่เต็มไปด้วยมลพิษจากรถยนต์และอุตสาหกรรมด้วยแล้ว อาจก่อให้เกิดความเสียงโรคต่างๆ ได้ง่าย วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" เลยขอสอดส่อง 6 โรคฮิตที่อาจทำร้ายชีวิตคนเมืองอย่างเราๆ มาฝากกัน กันไว้ดีกว่าแก้นะ … ขอบอก!!!
1. โรคกระเพาะ โรคที่นับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนทำงานที่มักจะทานข้าวไม่ตรงเวลาหรือไม่มีเวลาทานข้าว ซึ่งเกิดจากในขณะที่ร่างกายมีนาฬิกาชีวภาพอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาที่น้ำย่อยทำงานกลับไม่มีอาหารตกถึงท้อง ทำให้น้ำย่อยโจมตีเยื่อบุกระเพาะแทน เป็นสาเหตุทำให้คนที่ทานข้าวไม่ตรงเวลามักปวดท้องเนื่องจากท้องว่างนั่นเอง !
เช็กอาการปวดท้อง แบบไหนใช่โรคกระเพาะ 
- แผลที่เกิดในลำไส้เล็กส่วนต้น จะมีอาการปวดท้องบริเวณท้องด้านขวาส่วนบน เวลาหิว จะหิวบ่อย
- แผลที่เกิดในกระเพาะอาหารโดยตรง จะมีอาการปวดท้องเวลาอิ่ม จะรู้สึกแสบๆ เจ็บๆ บริเวณยอดอกหรือลิ้นปี่
- ถ้าร้ายแรง อาจทำให้ปวดท้องอย่างหนัก อาเจียนและมีอาการถ่ายเป็นเลือดร่วมด้วย
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม บอกลาโรคกระเพาะ 
- ผ่อนคลายจิตใจ ด้านความเครียด ความกังวลต่างๆ เพราะนั่นมีผลต่อการกระตุ้นให้กระเพาะสร้างกรดเพิ่มขึ้น มากกว่าปกติ
- หมั่นออกกำลังกาย ให้กล้ามเนื้อท้องผ่อนคลาย แข็งแรง กระเพาะอาหารก็จะแข็งแรงไปด้วย
- จัดสรรเวลาการทำงาน หมั่นทานอาหารให้เป็นเวลาและสม่ำเสมอ (ฝึกทานให้เป็นอุปนิสัย)
2. ไมเกรน โรคฮิตที่พบได้บ่อยสำหรับคนที่มีความเครียดสูงและมีเวลาจำกัดในการทำสิ่งต่างๆ โดยสาเหตุยังไม่รู้แน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากสมองที่ไวต่อการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกหรือในร่างกาย ทำให้หลอดเลือดอักเสบและเมื่อมีตัวกระตุ้นมาทำให้หลอดเลือดขยาย จึงเกิดการปวดศีรษะขึ้น
เช็กอาการปวดหัวแบบไหนกัน ส่อแววเป็นไมเกรน 
- ปวดศีรษะครึ่งซีกบริเวณขมับหรือท้ายทอย อาจปวดข้างเดียวหรือสองข้างพร้อมกัน หรือเป็นสลับข้างก็ได้
- ปวดตุ๊บๆ ในสมองเป็นเวลานาน ครั้งละ 20 นาทีขึ้นไป
- ปวดศีรษะรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
- ก่อนปวดศีรษะประมาณ 10-20 นาที บางครั้งอาจมองเห็นแสงเป็นเส้นระยิบระยับสะท้อน หรือเห็นภาพบิดเบี้ยว
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดระดับไมเกรน 
- ผ่อนคลายจากการทำงานโดยอาจหาเวลานั่งพักหลับตาช่วงระหว่างวัน
- หากิจกรรมสนุกๆ ทำหลังเลิกงาน อย่างเช่น ออกกำลังกาย (ตีแบดฯ,ว่ายน้ำ)
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ปรับพฤติกรรมการกินอยู่ เช่น ลดชา กาแฟ ผงชูรสต่างๆ
ไมเกรน
ไมเกรน
3. ลำไส้แปรปรวน อีกโรคที่น่าเป็นห่วงสำหรับคนเมือง เกิดจากการบีบตัวของลำไส้ที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากการหลั่งสารหรือฮอร์โมนที่ผิดปกติบางอย่างในผนังลำไส้ ทำให้เกิดการปวดท้องขึ้น รวมทั้งอาจเกิดจากระบบประสาทที่ผนังลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า ซึ่งอาจมีตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น ได้แก่ อาหารที่มีรสเผ็ด เปรี้ยว กาแฟ แอลกอฮอล์และช็อกโกแลต ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ก็ส่งผลต่อลำไส้ด้วยเช่นกัน
เช็กอาการเบื้องต้น สัญญาณบอกโรคลำไส้แปรปรวน 
- มีอาการแน่นท้อง อืดท้อง
- มีอาการปวดแบบเกร็งๆ บริเวณกลางท้องหรือบริเวณท้องน้อย
- ท้องโตขึ้นเหมือนมีลมอยู่ในท้อง อาจมีอาการเรอหรือผายลมบ่อยๆ
- ถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกสลับท้องเสีย บางรายรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด อุจจาระมีลักษณะเหลวหรือเป็นมูกร่วมด้วย
- อาการมักเป็นๆ หายๆ มากน้อยสลับกัน และมีอาการเกิน 3 เดือน
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รับมือโรคลำไส้แปรปรวน 
- รับประทานอาหารสด สะอาด ครบหมวดหมู่
- ไม่ควรทานอาหารรสเผ็ด เปรี้ยว
- ลดเครื่องดื่มจำพวกชา กาแฟ น้ำอัดลม และแอลกฮอล์ให้น้อยลง (ควรหลีกเลี่ยงถ้าเป็นไปได้)
- หาเวลาพักผ่อนจิตใจ คลายสมอง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน ให้ร่างกายผ่อนคลายและสุขภาพแข็งแรง
ลำไส้แปรปรวน
ลำไส้แปรปรวน
4. โรคระบบทางเดินหายใจ โรคเงียบที่คนเมืองกรุงไม่ควรมองข้าม ! เนื่องจากอยู่ท่ามกลางมลภาวะเป็นพิษทำให้หลายคนอาจลืมไปว่านั่นเป็นสาเหตุหลักของโรคทางเดินหายใจ อย่าง ปอด หวัด ภูมิแพ้ ไซนัส ที่เราควรต้องระวังเป็นพิเศษ
เช็กอาการเบื้องต้น โรคเงียบใกล้ตัว ...
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หายใจไม่สะดวก
- ป่วยกระเสาะกระแสะ เหมือนเป็นไข้ตลอดเวลา เช่น คัดจมูก น้ำมูกน้ำตาไหล
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้ปลอดจากโรคร้าย 
- หลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเวลารถติด
- พักอาศัยในที่ถ่ายเทได้สะดวก หลีกเลี่ยงพักอาศัยในเขตชุมชน เขตอุตสาหกรรม ย่านออฟฟิศหรือทาวเวอร์
- หาเวลาออกไปสูดอากาศนอกเมืองบ้าง
- ออกกำลังกายเป็นประจำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกัน
5. กล้ามเนื้อเมื่อยล้า เป็นโรคที่พบอันดับต้นๆ ของมนุษย์เงินเดือน ที่เกิดจากความเมื่อยล้าและความเครียดของกล้ามเนื้อ(รวมถึงกล้ามเนื้อดวงตา) หลังจากการใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานหน้าคอมฯตลอดทั้งวัน
เช็กอาการ สัญญาณบ่งบอกความเมื่อยล้า 
- ปวดข้อกระดูกนิ้วและกระดูกข้อมือ เนื่องจากกดแป้นคีย์บอร์ดและขยับเมาส์ตลอดเวลา
- กล้ามเนื้อไหล่ตึงและปวด
- ปวดตาและเริ่มมองเห็นเป็นภาพเบลอๆ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมไม่ให้ลุกลาม 
- ขณะนั่งทำงานหาวิธียืดเส้นยืดสายหรือลุกเดินให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวบ้าง
- หลับตาหรือพักสายตาหรือมองออกไปยังบริเวณต้นไม้ จะช่วยผ่อนคลายสายตาได้เยอะ
- ปรับอุปกรณ์คอมฯให้เหมาะสมกับสรีระ เช่น ปรับจอมอนิเตอร์ให้ห่างจากตัวอย่างน้อย 16 นิ้ว หรือปรับจอภาพให้อยู่ระดับเดียวกับสายตา
- จัดสรรเวลาทำงานใหม่ หาเวลาผ่อนคลายความเครียดโดยการเล่นกีฬาบ้าง อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง
กล้ามเนื้อเมื่อยล้า
กล้ามเนื้อเมื่อยล้า
6. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ด้วยปัจจัยหลายอย่างด้านความรีบเร่งในการทำงาน รถติดหรือห้องน้ำไม่สะอาด ทำให้สาวๆ เลือกที่จะกลั้นปัสสาวะไว้ แต่รู้ไหมว่าปริมาณน้ำนั้นจะเพิ่มเป็นเท่าตัว ทำให้กระเพาะปัสสาวะบวมขึ้น ! ยิ่งผู้หญิงมีท่อน้ำปัสสาวะสั้นกว่าผู้ชายด้วยแล้ว เชื้อโรคนี้จึงย้อนกลับเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะและเกิดการติดเชื้อได้
เช็กอาการ นี่แหละ … กระเพาะปัสสาวะอักเสบ !
- ปวดปัสสาวะมากกว่า 8 ครั้งต่อวัน หรือปวดกะปริบกะปรอยต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ
- ปัสสาวะแล้วแต่รู้สึกเหมือนยังไม่สุด
- รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะ
- ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีจะใส แต่บางรายอาจมีเลือดปน
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดความเสี่ยงกระเพาะปัสสาวะอักเสบ 
- เข้าห้องน้ำทันทีเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ ไม่ควรอั้นไว้
- หมั่นรักษาความสะอาดบริเวณช่องคลอดและท่อปัสสาวะ
- ดื่มน้ำมากๆ ช่วยในการขับแบคทีเรียที่หลุดเข้ากระเพาะปัสสาวะ
แหล่งที่มา :
ไทยรัฐออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิจัยพบทำสมาธิวันละ 15 นาที / Admin SD (Tonan Asia Autotech)

วิจัยพบทำสมาธิวันละ 15 นาที ติดต่อกัน 2 เดือน ช่วยลดความดันในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงได้ สธ.เร่งส่งเสริมทำสมาธิในทุกโรงพยาบาลทุกแห่ง หวังผู้ป่วยและญาติจิตใจผ่อนคลาย เพิ่มภูมิต้านทานโรค พร้อมชวนคนไทยใช้วันมาฆบูชาเริ่มทำสมาธิ



                                               ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต 

       นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยมีแต่ความเร่งรีบ จนเกิดความกดดันจากปัญหาต่างๆ หากไม่สามารถปรับตัวและสภาพจิตใจได้ อาจกลายเป็นคนที่มีความเครียดสูงตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดโรคเรื้อรังและปัญหาอื่นๆ ตามมา ในโอกาสวันมาฆบูชานี้ สธ.ขอเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มวัยใช้ฤกษ์ดีเป็นวันเริ่มการฝึกทำสมาธิ ซึ่งถือเป็นการดูแลสุขภาพวิธีหนึ่งในการผ่อนคลายความเครียดที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ใช้แก้ปัญหาได้ดี ลึกซึ้ง สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทย เพราะเมื่อจิตใจสงบปราศจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน จะทำให้เกิดสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ลดอาการวิตกกังวล ความเศร้าโศก และความโกรธได้ หากทำสมาธิเป็นประจำ จะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายเช่น ระบบทางเดินหายใจ การเผาผลาญพลังงาน ความดันโลหิต และคลื่นสมอง ทำงานเป็นปกติ จิตใจเบิกบาน อารมณ์เย็น สมองแจ่มใส ไม่เครียด
     
       นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า สธ.มีนโยบายส่งเสริมให้โรงพยาบาลทุกระดับใช้เสียงตามสายประชาสัมพันธ์วิธีการฝึกสมาธิขั้นพื้นฐานง่ายๆ ให้แก่ประชาชนที่มารับบริการทั้งผู้ป่วยและญาติ รู้จักวิธีการทำสมาธิระหว่างรอรับบริการ ซึ่งใช้เวลาไม่มาก ส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ขณะนี้มีโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชนดำเนินการแล้วร้อยละ 65 นอกจากจะช่วยให้จิตใจสงบแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากความเครียด เช่น ไมเกรน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากเมื่อร่างกายมีความเครียดจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน หลอดเลือดแดงจะเกิดการเสื่อมสภาพ อาจทำให้หลอดเลือดแตกหรือตีบตัน โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง นอกจากนี้ ยังทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เกิดปัญหาหัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจหนา จนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย และเสียชีวิตได้
     
       “การทำสมาธิจะทำให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข ช่วยให้ร่างกายสดชื่นมีภูมิต้านทานโรค จากผลวิจัยทางการแพทย์พบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีการฝึกทำสมาธิโดยการหายใจช้าและลึก วันละประมาณ 15 นาที ติดต่อกันเป็นเวลา 2 เดือน ค่าความดันโลหิตลดลงมากกว่าผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่ได้เข้ารับการฝึกทำสมาธิ สธ.จึงสนับสนุนให้คนไทยทุกคนหันมาฝึกการทำสมาธิและควรทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน เริ่มจากวันละ 5 นาที เพิ่มเป็น 10 นาทีในวันต่อไป และเพิ่มเป็น 15 นาทีตามลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ” รมช.สาธารณสุข กล่าว

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000023765

ถั่ว...ของว่างไม่ธรรมดา / Admin Poo (Tonan Asia Autotech)

ถั่ว...ของว่างไม่ธรรมดา

ทราบหรือไม่ว่าการรับประทานถั่ว วันละ 1 กำมือสักหนึ่งปี ร่วมกับกินอาหารสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีผักผลไม้และปลาเป็นหลัก จะช่วยล้างความเสี่ยง ต่ออันตรายของโรคหัวใจที่มีอยู่ในตัวให้หมดลงได้

ถั่ว...ของว่างไม่ธรรมดาการกินอาหารที่มีประโยชน์ และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงย่อมเป็นที่ต้องการของทุกคน และอาหารก็เป็นส่วนที่ช่วยให้ร่างกายปราศจาก โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ อาหารธรรมชาตินี้ก็คือ อาหารหลากหลายที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการแปรรูปทางอุตสาหกรรม "ถั่วเปลือกแข็ง" เช่น ถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ ถั่ววอลนัต ถั่วพิสตาชิโอ ถั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นตัวอย่างของอาหารธรรมชาติที่มากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และสารที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูสุขภาพ 

ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าการรับประทานถั่วนั้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ สมาคมโรคหัวใจทั้งไทยและเทศต่างยอมรับว่า ถั่วเป็นอาหารเพื่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เพราะมีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดลง เมื่อรับประทานเป็นประจำคู่กับอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ 

คราวนี้เรามาดูประโยชน์ของถั่วรายชนิดกันดีกว่า 


  1. ถั่วลิสง มีโปรตีนสูงรองจากถั่วเหลืองสูงกว่าข้าวสาลี1เท่า ข้าวสาร3เท่า และยังมีแมกนีเซียมที่ช่วยลดคลอเรสเตอรอล วิตามินอี ช่วยชะลอความแก่ ไฟเบอร์ ช่วยป้องกันท้องผูก ... สามารถดูดซึมไปใช้ง่าย หากรับประทานประจำจะทำให้คลอเรสเตอรอลในตับสลายตัวเป็นกรดน้ำดีได้ .... ป้องกันหลอดเลือดตีบและโรคหัวใจในผู้ใหญ่ด้วยค่ะ ... ส่วนเด็กการรับประทานถั่วลิสงช่วยเสริมความจำและช่วยการเจริญเติบโต ....
  2. ถั่วอัลมอนด์ บำรุงปอด บำรุงกล้ามเนื้อ ทำให้คงความหนุ่มสาวไว้ได้นานจากการมีวิตามินอีสูง บี2และแคลเซี่ยมช่วยป้องกันกระดูกพรุน มีไฟเบอร์สูงสุดในจำนวนถั่วด้วยกัน ช่วยควบคุมน้ำตาลและไขมัน ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำใส้ใหญ่ ...
  3. ถั่วพิตตาชิโอ มีบี1 ฟอสฟอรัสสูงช่วยในเรื่องกระดูกและฟัน ช่วยในการทำงานของไต และช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตได้ดี ...
  4. ถั่ววอลล์นัท ช่วยให้เซลล์บุผนังหลอดเลือดทำงานได้ดี ช่วยป้องกันหลอดเลือดตีบ เป็นแหล่งน้ำมันปลา ...
  5. ถั่วปากอ้า มีวิตามินบี1สูง ช่วยรักษาดรคเหน็บชา ช่วยให้ระบบประสาทและหัวใจทำงานได้ดี ช่วยในการย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ....
  6. ถั่วแมคคาดาเมีย มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียมสูง ช่วยบรรเทาอาการไมเกรน และช่วยลดคลอเรสเตอรอล ....
  7. เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีวิตามินอีสูง ช่วยคงความเป็นหนุ่มสาว มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กสูง...
  8. เกาลัด โปรตีนสูงมาก ไขมันต่ำ มีบี1 บี6 แมกนีเซียม สังกะสี กรดโฟลิก ช่วยเรื่องความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ บำรุงประสาท ขับถ่ายสะดวก ช่วยชะลอความชรา...
  9. เมล็ดฟักทอง ไขมันต่ำ ช่วยบำรุงสายตา มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเม็ดเลือดแดง...
  10. งาขาวและงาดำ บำรุงเส้นผม มีกรดไขมันไลโนเลอิคที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง บำรุงเซล ป้องกันเกล็ดเลือดแข็งตัว ...
  11. ถั่วแระ หรือเรียกอีกอย่างว่าถั่วเหลืองฝักสด มีวิตามิน A B C เกลือแร่สูง ช่วยต้านทานมะเร็ง....


และยังมีถั่วอื่นๆที่น่าสนใจ

  1. ถั่วเหลือง โปรตีนสูง และที่มีคุณสมบัติพิเศษก็คือมีสารช่วยเสริมฮอร์โมนเพศหญิง เพราะฉะนั้นจึงถูกบรรจุไว้ในเมนูหญิงวัยทองเลยนะคะ ...นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน โรตหัวใจขาดเลือด ป้องกันมะเร็ง บำรุงม้าม.. การรับประมานถั่วเหลือจะเกิดประโยชน์สูงสุดถ้าในกระเพาะอาหารมีแป้งอยู่ด้วยค่ะ ...
  2. ถั่วแดง บำรุงหังใจ ช่วยขับปัสสาวะ บรรเทาอาการปวดข้อ กำจัดหนอง แก้ลมพิษดีซ่าน แก้อาการอาหารเป็นพิษ....
  3. ถั่วเขียว บำรุงตับ บำรุงสายตา ลดความดันโลหิต มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ถอนพิษจากพืชที่มีสารปนเปื้อน รักษาเบาหวาน ลำใส้อักเสบ รักษาอาการกระหายน้ำ ...
  4. ถั่วขาว บำรุงปอด และเป็น1ใน เมนูสุดฮิตของสาวที่อยากลดความอ้วน ถั่วขาวเป็นส่วนผสมที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนที่วางขายตามท้องตลาดเลยละค่ะ .... เพราะถั่วขาวช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่ดูดซึมแป้งและน้ำตาลค่ะ ...
  5. ถั่วดำ บำรุงไต ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการเจริญเติบโต...

บทความโดย teenpath.net , dek-d.com , magicpertty.blogspot.com

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ร้าน เฌอ-เอม (Cher Ame) วิภาวดี 42 เสน่ห์แห่งอาหาร / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)


วันนี้ ตามรอยนักชิม และ มาเฟียฟู้ด ?จะแนะนำร้านอาหารสุดแสนที่จะมีเสน่ห์ทางด้านอาหาร อย่างร้านอาหารเฌอ-เอม (Cher Ame) อยู่บนชั้น 2 ของโรงแรม ซินนาม่อน เรสซิเดนซ์ วิภาวดี 42 สไตล์ของร้านคืออยากให้ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ได้รู้สึกเหมือนกับได้นั่งทานอาหารอยู่ที่บ้าน สบาย และเป็นกันเอง รู้แบบนี้แล้วก็ไม่รอช้า มาเฟียฟู้ดพามาชิมทันที


เฌอ-เอม
ร้าน เฌอ-เอม (Cher Ame)?ร้านอาหารไทย ฟิวชั่น ที่มาของชื่อร้านนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก “ชะเอม” เครื่องเทศที่มีสรรพคุณทำให้ชุ่มคอ ใครที่ได้มารับประทานก็จะรู้สึกชุ่มฉ่ำกับอาหารและบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเองและรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ภายในร้านจะตกแต่งด้วยไม้เก่า และเพิ่มลูกเล่นด้วยต้นไม้พันธ์ เครื่องเทศมาประดับตามมุมต่างๆ ของร้าน เพิ่มลวดลายจากเหล็กดัดบนอิฐมอญ เพ้นท์ลายและบทความบนผนังบอกเล่าเรื่องราวความเป็นตัวตนของร้านได้เป็นอย่างดี ดูสบายตาและหรูหราอย่างลงตัว
เฌอ เอม
เฌอ-เอม เฌอ-เอม
เฌอ-เอม
เฌอ-เอม
มี?outdoor เล็กๆ สำหรับคนที่ต้องการดื่มด่ำบรรยากาศธรรมชาติ ภายนอกจะล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ประดับและยังมีสระว่ายน้ำให้พักผ่อนหย่อนใจกันได้สบายๆ
เมนูแนะนำ
เฌอ เอม
ปลาแซลม่อนย่างจิ้มแจ่วพร้อมสลัดผักออร์แกนิก 250 บาท
เฌอ เอม
สลัดปูนิ่ม กับซอสบัลซัลมิกและน้ำซอสสูตรพิเศษ 240 บาท
_DSC3097
ปีกไก่บัฟฟาโลวิงค์ (ปีกไก่ทอดสไตล์อเมริกันต้นตำหรับ) 180 บาท
เฌอ เอม
สปาเก็ตตี้เส้นหมึกดำ ผัดขี้เมาทะเล 230 บาท
เฌอ เอม
ซี่โครงหมูย่าง ซอสบาร์บีคิว 300 บาท
_DSC3183
กล้วยหอมทอด โรยผงเครื่องเทศซินนาม่อนซอสวนิลา 160 บาท
เฌอ เอม
ช็อคโกแล็ต ลาวา พร้อมซอสใบเตยสูตรร้านเฌอ-เอม 160 บาท
เครื่องดื่ม Signature ของร้านอาหาร เฌอ-เอม
เฌอ เอม
Cinnamon Sunset?
เฌอ เอม
Cher Ame Tango


ข้อมูลร้าน

ที่อยู่
62/67 Soi Viphavadee Rangsit 42 Ladyao, Chatuchak, Bangkok, Thailand 10900
โทรศัพท์
02 941 4360
ย่าน
จตุจักร
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เว็บไซต์
http://cinnamon-residence.com/restaurant.php
เวลาเปิด,ปิด
6.00-24.00 น.
บัตรเครดิต
รับบัตรเครดิต
โปรโมชั่น
มีทั้งส่วนลดและของกำนัล
ประเภทอาหาร
ไทย
เมนูแนะนำ
ปลาแซลมอลย่างจิ้มแจ่ว , ปีกไก่บัฟฟาโลวิงค์ , สปาเก็ตตี้เส้นหมึกดำ
ราคาเฉลี่ย
100-450 บาท
ที่จอดรถ
มีที่จอดรถ


 ขอขอบคุณที่มา

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

"ช็อคโกแลต" ใครว่าไม่มีประโยชน์ / Admin Poo (Tonan Asia Autotech)

ขึ้นชื่อว่า หลายคนคงจะนึกถึงขนมหวานสีน้ำตาลที่มีหลากหลายแบบ กินแล้วรสชาติหอมหวาน เป็นขนมเพิ่มน้ำหนักอย่างดี แต่หลายคนคงยังจะไม่ทราบว่า ช็อคโกแลตนั้นก็มีประโยชน์อยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้เราจะได้รู้กันแล้วว่า ช็อคโกแลตนั้น มีดีอย่างไร?



1.ในช็อคโกแลตมีสารประกอบช็อคโกแลตที่ชื่อว่า ฟีโนลิค อยู่ปริมาณสูง เป็นสารช่วยในการลดอัตราการเกิดโรคหัวใจ อีกทั้งยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือด ที่สำคัญยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย

2.ช่วยลดอาการ Hangover หรือที่เรียกว่า อาการเมาค้างได้
3.ป้องกันการเกิดมะเร็ง เพราะ สารที่พบในช็อกโกแลต เป็นสารชนิดเดียวกันกับ สารที่พบใน ผัก ผลไม้ และไวน์แดง

4.ช่วยปรับอารมณ์และจิตใจ ให้เข้าสู่สภาวะปกติ เหมาะมากสำหรับสาวๆ ที่เลือดจะไปลมจะมาทั้งหลาย ฉะนั้น ช็อกโกแลตจึงถือได้ว่า เป็นขนมหวานอันดับหนึ่งสำหรับผู้หญิง ช่วยลดอาการปวดท้อง หงุดหงิด หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือน ช็อกโกแลตมีสารทริพโทฟาน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนสำคัญ ทำหน้าที่ควบคุมเซโรโทนิน สารสื่อประสาทที่ควบคุมอารมณ์ เมื่อร่างกายขับเซโรโทนินออกมาช่วยให้ผ่อนคลายความวิตกกังวลได้

5.ช่วยลดอาการอักเสบ เวลาเจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัว และยังช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉงอีกด้วย สถาบันวิจัยในประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ทำการศึกษา ในชายอายุระหว่าง 65-84 ปี จำนวนเกือบ 500 คนที่อาศัยในเมือง Zutphen ประเทศเนเธอร์แลนด์ พบว่า 1 ใน 3 ของคนกลุ่มนี้ไม่ได้รับประทานโกโก้ ขณะที่ค่าเฉลี่ยมัธยฐานของกลุ่มของการรับประทานโกโก้จะอยู่ที่ 4.2 กรัมต่อวัน ในจำนวนอาสาสมัครกลุ่มนี้พบว่า ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2528-2543 มีอาสาสมัครเสียชีวิตลง 314 คน ซึ่งพบว่าคนที่รับประทานโกโก้มากที่สุด มีความเสี่ยงลดลงครึ่งหนึ่งของคนที่ไม่ได้รับประทาน

ขอบคุณที่มา :  http://campus.sanook.com

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เกจบล็อค/ ADMIN - JP (TONAN ASIA AUTOTECH)


โรคปวดศีรษะจากความเครียด / Admin SL Tonan Asia Autotech

โรคปวดศีรษะจากความเครียด
โดย นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 28 ฉบับที่ 336 เมษายน 2550 หน้า 28-31

โรคปวดศีรษะจากความเครียด
เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะ มักจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่องนานเป็นวันๆ จนถึงเป็นสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน โดยจะปวดพอรำคาญ หรือทำให้รู้สึกไม่สุขสบาย และจะปวดอย่างคงที่ ไม่แรงขึ้นกว่าวันแรกๆ ที่ปวด จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรัง

ชื่อภาษาไทย โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด
ชื่อภาษาอังกฤษ Tension-type headache (TTH), Tension headache, Muscle contraction headache, Psychogenic headache


สาเหตุ
อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้าซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นบางส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี (เช่น เอนดอร์ฟินซีโรโทนิน) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
ส่วนใหญ่ มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด หิวข้าวหรือกินข้าวผิดเวลา อดนอน ตาล้าตาเพลีย(จากใช้สายตามากเกินไป)
นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน
อาการ
ลักษณะเฉพาะของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องกันนานครั้งละ 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรกๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้าๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ
การแยกโรค
อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวันๆ ขึ้นไปควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
1. ไมเกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับข้างเดียว (ส่วนน้อยเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง) คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4-72 ชั่วโมง มันจะเป็นๆ หายๆ ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย
2. เนื้องอกสมอง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดทั่วศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าว จะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลา ในระยะต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม
3.โรคทางสมองอื่นๆ
เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ปวด บางคนอาจมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย
4.ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดงๆ ตรงบริเวณตาขาว (รอบๆ ตาดำ) อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวันๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยโรคนี้จากลักษณะอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน
นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ผู้ป่วยและญาติจึงควรบอกเล่าประวัติ และอาการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีมีภรรยาน้อย เล่นการพนัน การทะเลาะกัน) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องและไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น

การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอลบรรเทา 1-2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด
ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 
มีอาการปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง 
มีอาการปวดมากตอนเช้ามืด จนสะดุ้งตื่น หรือปวดแรงขึ้นและนานขึ้นทุกวัน 
มีอาการเดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก 
มีอาการตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย 
มีอาการปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ 
ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ดีขึ้น 
มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง 

การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาบรรเทาปวดร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท
ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด การกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น
ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้งและแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน หรือฟลูออกซีทีนทุกวันติดต่อกันนาน 1-3 เดือน
ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสวงหาบริการ ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อยๆ
การดำเนินโรค
อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมงๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือแรมเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะทุเลาไปได้ แต่เมื่อขาดการรักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็นๆ หายๆ ได้บ่อย
การป้องกัน
ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่าปล่อยให้หิว อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ
ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย คือประมาณร้อยละ 80-90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้
พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมาก ที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี
พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5-2 เท่า


*******************************************