วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ปลาทูช่วยแก้โรคหัวใจ / Admin POO (Tonan Asia Autotech)

ไม่ว่าจะทานกับ น้ำพริก หรือนำไป ทำน้ำพริก กับต้มยำก็อร่อย แต่ใครจะรู้บ้างว่าในตัวปลาทูนั้นก็มี สารโอเมก้า 3 อยู่ด้วย
ศ.นพ.ปิติ พลังวชิรา ผู้อำนวยการ ศูนย์โรคผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า


โอเมก้า 3 มีอยู่ในน้ำมันปลา ซึ่งเป็นไขมันประเภทไม่อิ่มตัว มีประโยชน์ในเรื่อง ลดอัตราการตายจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบ แล้วยังลดโคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ รวมทั้งลดความหนืดของเลือด ลดการอักเสบ ทำให้ความข้นในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
การรับประทานน้ำมันปลาจะปรับระดับเลือดในร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ
ไขมันปลาประกอบด้วยสาร
• อีพีเอ และ
• ดีเอชเอ
สารกลุ่มนี้จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในปลาทะเลน้ำลึก ในเขตหนาว เช่น ปลาไซม่อน ปลาเม็คเคเรล ส่วนในเมืองไทยปลาเหล่านี้มีราคาสูง
จึงแนะนำให้รับประทานปลาทู และปลากระพง ทดแทน
เพราะในปลาทูจะมีสารโอเมก้า 3 ค่อนข้างมาก ในเนื้อปลาทู 100 กรัม จะมีสารโอเมก้า 3 ประมาณ 2-3 กรัม ปกติในหนึ่งวันร่างกายต้องการโอเมก้า 3 ประมาณวันละ 3 กรัมต่อวัน 


แต่การรับประทานอาหารเสริมน้ำมันปลา
ซึ่งมีโอเมก้า 3 นั้น ต้องได้รับการตรวจเช็คจากแพทย์ก่อนว่าร่างกายขาดโอเมก้า 3 หรือไม่ เพราะหากร่างกายได้รับสารโอเมก้า 3 เพียงพอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลามารับประทาน

รู้อย่างนี้แล้วหันมารับประทานปลาทู เพื่อสุขภาพกันดีกว่า


ขอบคุณที่มา : www.blogger.com

20 ตลาดน้ำสุดฮิต ไปสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำ / Admin SD (Tonan Asia Autotech)

          ขึ้นชื่อว่า ตลาดน้ำ หลายคนก็คงน้ำถึงความเจริญของชุมชนในสมัยก่อน เป็นมุมมองของวิถีชีวิตริมน้ำได้ลองชมและสัมผัสกับความหลากหลายของตลาดน้ำ ซึ่งเปิดให้เหล่าคนที่รักการช้อป การชิม และการท่องเที่ยวเพลิดเพลินใจกับความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครได้เป็นอย่างดี ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีตลาดน้ำผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก จนไม่รู้จะเลือกไปทางไหนดี วันนี้กระปุกท่องเที่ยวเลยขอแนะนำตลาดน้ำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่สุด 20 อันดับต้น ๆ ของตลาดน้ำสุดฮอตมาบอกกัน เอ้า! พร้อมแล้วใช่ไหมค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปเริ่มต้นกับตลาดน้ำแห่งแรกกันเลย

 1. ตลาดน้ำขวัญเรียม (วัดบำเพ็ญเหนือ-วัดบางเพ็งใต้)




            ตลาดน้ำขวัญเรียม เมื่อได้ยินชื่อหลายคนอาจจะนึกถึงนวนิยายเรื่องขวัญเรียม เพราะที่นี่ถือเป็นต้นกำเนิดนิยายรักเรื่องนี้ เลยค่ะ โดยตลาดแห่งนี้ถือเป็นหนึ่งในตลาดน้ำที่เกิดขึ้นเพื่อย้อนรอยวัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนริมคลองแสนแสบ จำลองวิถีชีวิตของคนสมัยก่อน ด้วยความสามัคคีของคนในชุมชน ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

           ส่วนไฮไลท์ของ ตลาดน้ำขวัญเรียม คือ การตักบาตรทางน้ำ ที่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานของคนชุมชนทั้งสองวัด ซึ่งนอกจากการตักบาตรในตอนเช้าแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมอื่นอีกมากมาย อาทิ การแสดงการละเล่นของไทย ที่เวทีริมน้ำ, การล่องเรือสัมผัสชีวิตชุมชน พร้อมไกด์ตัวน้อยที่จะมาเล่าความเป็นมาของตลาดน้ำขวัญเรียม, การจัดแสดงสัตว์บกและสัตว์น้ำ รวมถึงเพลิดเพลินไปกับเมนูอร่อยที่หลากหลายอีกด้วย

           การเดินทาง

           เส้นทางแรก ถนนสุขาภิบาล 2 (เสรีไทย) รถเมล์ 27 ปอ.502 รถยนต์ส่วนตัว มีสถานที่จอดรถ วิ่งตรงมาจาก The Mall บางกะปิ ผ่านสวนสยามจะเจอปากทางเข้าวัดเลี้ยวเข้ามาวัดบำเพ็ญเหนือ ทางด้านขวาต้องไปเลี้ยวกลับ

           เส้นทางที่ 2 ถนนสุขาภิบาล 3 (รามคำแหง) รถเมล์ 113 58 ปอ. 113 514

           ที่อยู่ : วัดบำเพ็ญเหนือ ซอยเสรีไทย 60 และ วัดบางเพ็งใต้ ซอยรามคำแหง 187
           โทรศัพท์ : 087 701 2878
           วันเวลาเปิดทำการ : วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 07.00-20.00 น. (ตักบาตรพระทางน้ำเริ่ม 07.00 น.)
           เว็บไซต์ : kwan-riamfloatingmarket.com และ เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำขวัญเรียม


 2. ตลาดน้ำอัมพวา




           ตลาดน้ำอัมพวา เป็นตลาดเก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดในสมุทรสงคราม ซึ่งความเจริญทางด้านถนนหนทางไม่ได้มีผลกับชาวบ้านแต่อย่างใด เพราะที่นี่ยังคงอนุรักษ์รูปแบบการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของตนไว้อย่างสมบูรณ์เสมอ โดยในปัจจุบันตลาดน้ำอัมพวามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาอย่างไม่ขาดสาย จุดเด่นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์หลัก คือ ที่พักในรูปแบบโฮมสเตย์ การล่องเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืน ทำให้ร้านที่จำหน่ายสินค้าในตลาดน้ำส่วนใหญ่จะมีบริการบ้านพักแบบโฮมสเตย์รวมอยู่ด้วย ส่วนสินค้าที่ขึ้นชื่อของที่แห่งนี่จะเป็นอาหาร ของฝาก ของที่ระลึกที่มีทั้งแบบพายเรือมาขายอยู่ในลำคลอง และแบบเปิดร้านอยู่บนฝั่งก็มี การได้ลองชม-ชิมอาหารพื้นบ้านที่หลากหลาย

           การเดินทาง

           ทางรถยนต์ : จากตัวจังหวัดใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 325 ทางเดียวกับไปอำเภอดำเนินสะดวกและอุทยาน ร.2 ประมาณ 6 กม. ก่อนถึงสามแยกไฟแดง มีทางแยกทางซ้ายเข้าอำเภออัมพวา ไปอีกประมาณ 800 เมตร ทางแยกซ้ายมือ เข้าตลาดอัมพวา จอดรถบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภออัมพวา

           รถประจำทาง : จากสถานีขนส่งสายใต้ รถสาย 996 กรุงเทพฯ-ดำเนินฯ เป็นรถปรับอากาศ ผ่านจังหวัดสมุทรสงคราม ถึงตลาดอัมพวา, สาย 976 กทม.-สมุทรสงคราม ถึงสถานีขนส่งสมุทรสงคราม ขึ้นรถประจำทางสาย 333 แม่กลอง-อัมพวา-บางนกแขวก ถึงตลาดอัมพวา

           รถตู้ : ขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยฝั่งถนนพหลโยธินใต้ทางด่วน เป็นรถตู้สาย กทม.-แม่กลอง ตั้งแต่ 06.25-20.00 น. ลงที่ตลาดแม่กลอง แล้วเดินมาแถวตลาดจะมีคิวรถสองแถวสายที่ไปโรงเจตรงตลาดน้ำอัมพวา ค่ารถ 10 บาท ขากลับตั้งแต่ 05.30-19.00 น. (รถจอดแถวตลาดแม่กลอง)

          ที่อยู่ : อยู่บริเวณหน้าวัดอัมพวัน อำเภออัมพวา สมุทรสงคราม
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวันศุกร์-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 12.00-22.00 น.
          โทรศัพท์ : ประชาสัมพันธ์จังหวัด 0 3471 4881


 3. ตลาดน้ำทุ่งบัวชม




         สำหรับ ตลาดน้ำทุ่งบัวชม ถือเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งโครงการ โดยมีแนวคิดผสานระหว่างสมัยเก่าย้อนยุคกับแนวคิดร่วมสมัย บนเนื้อที่กว่า 18 ไร่ ในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดถนนพหลโยธิน เส้นทางที่มุ่งหน้าเข้าสายอีสานถนนมิตรภาพ แถมยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นความภูมิใจของชาวอยุธยา เพราะที่นี่ได้รวมสินค้าที่เป็นของดีสี่ภาค ของขึ้นชื่อ รวมไปถึงของฝากจากอยุธยาหลากหลายรายการมาให้เลือกกัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ทั้งทางด้านวิถีชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรม ที่เน้นความงดงามด้านสถาปัตยกรรม การตกแต่งร้านค้า รวมไปถึงการแต่งกาย

          ส่วนของฝากยอดฮิตของที่นี่ คือ สินค้า Handmade อย่างปลาตะเพียนใบลาน ตุ๊กตาชาววัง งอบ บ้านเรือนไทยจำลอง มีดอรัญญิก หม้อดินเผา หินแกะสลัก ผลิตภัณฑ์จากศูนย์ศิลปาชีพบางไทร สินค้า OTOP เครื่องประดับ เครื่องจักสาน สินค้าหัตถกรรม เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสินค้าต่าง ๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังมีการแสดงและการละเล่นพื้นบ้านที่หาดูได้ยากในปัจจุบันอีกด้วย

          การเดินทาง 
         ใช้ถนนพหลโยธิน (ขาออก) มุ่งหน้าอำเภอหนองแค ผ่านร้านข้าวแกงบ้านสวน สาขา 2 ไปประมาณ 1 กิโลเมตร ตลาดน้ำทุ่งบัวชม ตั้งอยู่ติดกับปั๊มน้ำมัน ปตท. บริเวณกิโลเมตรที่ 78 ทางด้านซ้ายมือ

          ที่อยู่ : พหลโยธิน กม.78 ถนนวังน้อย-สระบุรี อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 0.900-20.00 น.
          โทรศัพท์ : 0 3572 3127
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำทุ่งบัวชม


  4. ตลาดน้ำอโยธยา

          ถ้าพูดถึงชื่อของ ตลาดน้ำหมู่บ้านปางช้างอโยธยา หลายคนคงไม่คุ้นหู แต่ถ้าเรียกว่า ตลาดน้ำอโยธยา ทุกคนก็คงอ๋อไปตาม ๆ กัน ซึ่งที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะที่นี่ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านช้าง ใกล้ ๆ กับวัดมเหยงคณ์ ตำบลไผ่ลิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก อีกทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยที่ใหญ่ที่สุดในระดับจังหวัดอีกด้วย ทางด้านบรรยากาศภายในตลาดน้ำอโยธยานั้น โอบล้อมไปด้วยสายน้ำเย็นฉ่ำ มีระเบียงริมน้ำให้นักท่องเที่ยวนั่งหย่อนขาสัมผัสสายน้ำให้ชื่นใจ

          นอกจากนี้ สำหรับคนที่ชอบช้อปปิ้ง ก็อย่าลืมแวะเวียนเลือกซื้อเลือกหาสินค้าดีไซน์แปลก ๆ ประเภทงาน Handmade ได้อีกด้วย ซึ่งที่นี่ทั้งพ่อค้าและแม่ขายต่างต้องแต่งกายแบบย้อนยุค คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง พร้อมกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบไทย ๆ ที่เรียบง่าย นับเป็นจุดศูนย์รวมนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศ และทัศนียภาพอันงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยอีกด้วย

          การเดินทาง 
       
         ใช้ทางหลวงหมายเลข 32 หรือถนนสายเอเชียจะเห็นอยุธยาปาร์ค เลี้ยวซ้ายเข้าเมืองพระนครศรีอยุธยาแล้วขับไปจนเจอวงเวียนเจดีย์วัดสาม ให้วนตามวงเวียนไปออกทางขวามือ มุ่งหน้าวัดอโยธยา ตลาดน้ำอโยธยาอยู่ก่อนวัดอโยธยา ทางเข้าตลาดน้ำอโยธยาอยู่ขวามือมีซุ้มไม้สีดำขนาดใหญ่

          ที่อยู่ : 65/12 หมู่ 7 ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น.
          โทรศัพท์ : 0 3588 1678
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำอโยธยา


 5. ตลาดน้ำคลองลัดมะยม 

       

          ในเขตตลิ่งชันนอกจากจะมี "ตลาดน้ำตลิ่งชัน" ที่เป็นตลาดน้ำชื่อดังแล้ว ยังมีตลาดน้ำอีกแห่งหนึ่งในเขตตลิ่งชันที่แม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยกว่าตลาดน้ำตลิ่งชันสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ "ตลาดน้ำคลองลัดมะยม" ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับถนนกาญจนาภิเษก ไฮไลท์สำคัญของที่นี่นอกจากพ่อค้าแม่ค้าจะขายอาหาร-ขนมบนเรือแล้ว ที่นี่ยังมีเครื่องปั้นดินเผา สวนเจียมตน ที่เปรียบเสมือนห้องเรียนธรรมชาติให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าศึกษาวิถีชีวิตชาวสวนแบบดั้งเดิม ร้านขายของที่ระลึก และผลไม้จากสวนสด มาวางขายในราคาเป็นกันเองอีกด้วย

          การเดินทาง 

          เดินทางโดยรถเมล์ สามารถขึ้นรถเมล์ยูโรสาย 79 จากหน้ากองสลาก รถจะผ่านหน้าสำนักงานเขตตลิ่งชัน

          ที่อยู่ : ถนนบางระมาด แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
          วันเวลาเปิดทำการ : วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดนัดคลองมะยม

 6. ตลาดน้ำดำเนินสะดวก



          ตลาดน้ำดำเนินสะดวก หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนาม ตลาดน้ำคลองต้นเข็ม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของราชบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ราว 80 กิโลเมตร มีต้นกำเนิดจากสายพระเนตรที่ยาวไกลของรัชกาลที่ 4 ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองดำเนินสะดวก ระยะทางกว่า 32 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมแม่น้ำแม่กลองที่บางนกแขวก กับแม่น้ำท่าจีนที่ประตูน้ำบางยาง และมีคลองซอยเล็ก ๆ มากมาย ทำให้ชาวบ้านในราชบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร สามารถติดต่อกันทางน้ำได้สะดวก ซึ่งในปัจจุบันที่นี้ยังคงเป็นสถานที่ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติตั้งแต่ช่วงเวลาเช้าตรู่ เพราะจะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้าพายเรือนำสินค้ามาขายกันอย่างคึกคัก ทั้งอาหาร ผลไม้ และของที่ระลึกต่าง ๆ อีกมากมาย รวมถึงสินค้าหัตถกรรม ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ

          นอกจากนี้ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ยังมีบริการเรือเช่านำเที่ยว เพื่อไปชมสวน ดูการทำน้ำตาลสด โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอำเภอดำเนินสะดวก ห่างจากตลาดน้ำดำเนินสะดวกออกมาประมาณ 1 กิโลเมตร

          การเดินทาง

          เดินทางไปตามถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ผ่านบางแค สวนสามพราน นครชัยศรี นครปฐม เลยกิโลเมตรที่ 83 ไปเล็กน้อย จะพบแยกบางแพ เลี้ยวซ้ายมือไปตามทางหลวงหมายเลข 325 อีกประมาณ 25 กิโลเมตร ข้ามสะพานธนะรัชต์เลยไป 200 เมตร แล้วแยกขวาเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร

          เดินทางไปตามสายธนบุรี-ปากท่อ (ทางหลวงหมายเลข 35) ระยะทาง 63 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 325 ผ่านตัวเมืองสมุทรสงคราม แล้วเลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 325 ไปประมาณ 12 กิโลเมตร ทางเข้าตลาดน้ำอยู่ก่อนถึงสะพานธนะรัชต์ 200 เมตร และแยกซ้ายเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร

          ที่อยู่ : อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวัน จะเริ่มค้าขายกันตั้งแต่ 05.00-12.00 น.
          โทรศัพท์ : 0 3224 1023

 7. ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง




           ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง จัดตั้งขึ้นจากการร่วมมือระหว่าง องค์การบริการส่วนตำบลบางน้ำผึ้ง และชาวบ้านในชุมชน ด้วยการสร้างตลาดน้ำแห่งนี้เพื่อหาทางแก้ไขภาวะผลผลิตล้นตลาด ซึ่งตลาดน้ำแห่งนี้ก็ได้สร้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้เป็นอย่างดี รวมถึงในพื้นที่แห่งนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่ส่วนใหญ่แล้วประกอบอาชีพเกษตรกรรมอีกด้วย

          โดยส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวจะได้สนุกสนานไปกับการชมและชิมผลไม้คุณภาพจากทั้งสองฝั่งคลอง เพื่อเป็นอีกทางเลือกสำหรับการช่วยเหลือเกษตรกร อีกทั้งสามารถเลือกซื้อสินค้า อาหารที่ขึ้นชื่อของตลาดน้ำแห่งนี้ เช่น ห่อหมกหมู ไก่สะเต๊ะ หอยทอดขนมครก และผลิตภัณฑ์ของชาวบ้าน อาทิ ดอกไม้จากเกล็ดปลา ธูปสมุนไพร พร้อมช้อปสินค้าคุณภาพ OTOP

          การเดินทาง

          รถยนต์ : ลงจากทางด่วน (ดาวคะนอง-สุขสวัสดิ์) ที่ถนนสุขสวัสดิ์ จะเห็นสามแยกพระประแดง-สุขสวัสดิ์ เลี้ยวบริเวณข้างปั๊มน้ำมัน BP พอถึงตลาดพระประแดงให้เลี้ยวซ้ายผ่านวัดทรงธรรมวรวิหาร ไปตามถนนเพชรหึงษ์ ประมาณ 5 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าซอยเพชรหึงษ์ 26 แล้วจะพบป้ายบอกทางเข้าตลาดน้ำ ประมาณ 700 เมตร

          รถโดยสาร : มีทั้งรถโดยสารประจำทางแบบปรับอากาศและธรรมดา สาย 82, 138 รถร่วมบริการสาย 6 ไปลงตลาดพระประแดง แล้วต่อรถประจำทางสายพระประแดง-บางกอบัว ก็จะผ่านตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

          ที่อยู่ : วัดบางน้ำผึ้งใน อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
          วันเวลาเปิดทำการ : วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น.
          โทรศัพท์ : สำนักงานองค์การบริการส่วนตำบลบางน้ำผึ้ง 0 2819 6762 และ 08 1171 4930
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง


  8. ตลาดน้ำตลิ่งชัน



          วิถีชีวิตริมฝั่งคลอง คือ มนต์เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ใครหลายคนอยากจะมีโอกาสไปสัมผัสสักครั้ง อย่าง ตลาดน้ำตลิ่งชัน สถานท่องเที่ยวที่ควรจะไปสัมผัสกับตลาดที่เป็นแบบกึ่งชนบท ที่ผสมผสานวิถีชีวิตริมสายน้ำเข้าด้วยกัน อีกทั้งที่นี่ยังเป็นสถานที่รับสนองแนวพระราชดำริของในหลวง ถึงเรื่องของความพอเพียง และด้วยความหลากหลายของอาหารที่ปรุงรสพร้อมเสิร์ฟเสร็จสรรพจากเรือที่สัญจรทางน้ำมากมาย ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะต้องค้นหาอาหารยอดนิยมของที่นี่ นั่นก็คือ ก๋วยเตี๋ยวเรือ อาหารทานเล่นง่าย ๆ แต่อิ่มท้องอย่างหมูสะเต๊ะกับน้ำจิ้มรสเด็ดเป็นตัวชูโรง พร้อมด้วยกิจกรรมอีกหลากหลาย เช่น การลองนั่งเรือทัวร์คลอง ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ชมวิถีชีวิตริมสายน้ำ ผสมผสานความงามของวัดวาอาราม ที่รับรองได้ว่ามาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน

          การเดินทาง 

          จากถนนจรัญสนิทวงศ์เลี้ยวเข้าแยกบางขุนนนท์ไปตามเส้นทางหลัก เมื่อถึงแยกตลิ่งชันให้เลี้ยวซ้าย ขับไปตามทางหลักเรื่อย ๆ จะเห็นป้ายสำนักงานเขตตลิ่งชันอยู่ด้านหน้า และหากมาทางถนนบรมราชชนนี ผ่านสายใต้ใหม่ จะเห็น สน.ตลิ่งชัน อยู่ทางซ้ายมือ เลี้ยวเข้าซอยนั้นและขับมาตามทางหลักเรื่อย ๆ จะเห็นป้ายสำนักงานเขตตลิ่งชันอยู่ทางขวามือ ซึ่งมีที่จอดรถให้บริการ รวมทั้งมีรถเมล์สาย 79, 83 ผ่าน

          ที่อยู่ : ตั้งอยู่บริเวณหน้าสำนักงานเขตตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
          วันเวลาเปิดทำการ : วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดเทศกาล ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
          โทรศัพท์ : 0 2424 5448, 08 1701 2565
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำตลิ่งชัน


 9. ตลาดน้ำสี่ภาค





         ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนชาวไทยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งรวบรวมความหลากหลายทั้งทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั้ง 4 ภาคไว้ด้วยกัน เรียกได้ว่า ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก

         ตลาดน้ำสี่ภาค เป็นการให้ผู้คนได้สัมผัสความเป็นไทย ๆ ด้วยการจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไทยที่เรียบง่าย เพื่อให้ผู้คนได้เรียนรู้วิถีพอเพียงดั้งเดิมที่ผูกพันกับสายน้ำตั้งแต่อดีต สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการเรียนรู้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลใน 4 ภาคของประเทศไทย โดยนำเอาของดีของเด่นทั้ง 4 ภาค มารวมไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว อีกทั้งที่นี่นอกจากจะเดินเที่ยวชิล ๆ แล้ว ยังมีการล่องเรือเที่ยวชมตลาดด้วยเช่นกัน

         การเดินทาง

         ถนนมอเตอร์เวย์ เส้นทางมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี (สายใหม่) ต่อเชื่อมกับถนนวงแหวนรอบนอก มีทางขึ้นหลายจุด  เช่น ถนนรามอินทรา ก่อนถึงแฟชั่นไอร์แลนด์ สุดถนนพระราม 9 ตัดกับถนนศรีนครินทร์ หรือจากสายบางนา-ตราด เมื่อผ่านแยกถนนศรีนครินทร์มาแล้วพอสมควร จะมีทางแยกเข้าถนนวงแหวนรอบนอก แล้วมาเข้ามอเตอร์เวย์ได้เช่นกัน และเมื่อออกจากมอเตอร์เวย์ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 7 จนไปพบกับทางหลวงหมายเลข 36 ที่แยกบ้านกระทิงลายก่อนถึงพัทยา

          ถนนบางนา-ตราด เส้นทางสายบางนา ตราด (ทางหลวงหมายเลข 34) จากบางนาเข้าสู่ย่านบางพลี ผ่านแม่น้ำบางประกง จนเข้าสู่ตัวจังหวัดชลบุรี ระยะทางประมาณ 81 กิโลเมตร ถ้าจะไม่เข้าตัวเมืองก็มีเส้นทางบายพาสเลี่ยงเมืองแล้วมาพบกับทางหลวงหมายเลข 3 หรือถนนสุขุมวิท ไปตามเส้นทางนี้จะผ่านบางแสน บางพระ ศรีราชา แหลมฉบัง และก็จะเข้าสู่เขตเมืองพัทยา

         ที่อยู่ : 451/304 ถนนสุขุมวิท ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
         วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-24.00 น. แต่สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีการแสดงของแต่ละภาค วนไปตามซุ้มต่าง ๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวรับชม
         โทรศัพท์ : 0 3870 6340
          เว็บไซต์ : pattayafloatingmarket.com


  10. ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม



          ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม เป็นตลาดน้ำในบรรยากาศรัตนโกสินทร์ย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 6 ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์หัวหิน ที่เน้นโทนสีขาวและแดง คล้าย ๆ สถานีรถไฟหัวหิน ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ มีร้านค้าทั้งหมด 193 ร้าน และเรือขายสินค้า 40 ลำ อีกทั้งตลาดยังถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาและติดแหล่งน้ำธรรมชาติอย่าง "ลำห้วยสามพันนาม" จึงทำให้มีบรรยากาศเย็นสบาย ร่มรื่น เป็นธรรมชาติในแบบที่ไม่ต้องปรุงแต่งมากนัก แถมยังมีการแสดง โชว์แสง สี เสียง อันตระการตาให้ชมทุกวัน

          การเดินทาง 

          การเดินทางไปตลาดน้ำหัวหินสามพันนามใช้เส้นทางเดียวกับวัดห้วยมงคล โดยปากทางเข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซอยปากทางเข้าวัดห้วยมงคล มีป้ายบอกตลอดทาง

          ที่อยู่ : 88/8 หมู่ 13 ถนนหนองหอยทับใต้ ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวัน วันธรรมดาเปิดเวลา 09.00-20.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดเวลา 09.00-21.00 น.
          โทรศัพท์ : 08 1457 8888, 08 0240 5555
          เว็บไซต์ : huahinsamphannamfloatingmarket.com


  11. ตลาดน้ำดอนหวาย





          ตลาดดอนหวาย ตั้งอยู่หลังวัดดอนหวาย ริมแม่น้ำท่าจีน ตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นตลาดที่ยังเหลือสภาพตลาดเก่าในอดีตสมัยรัชกาลที่ 6 ที่มีให้เห็นลักษณะตัวอาคารเป็นอาคารไม้เก่า ๆ ที่อยู่ติดริมแม่น้ำท่าจีน มีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือนำสินค้าและอาหารมาจำหน่ายมากมาย เช่น เป็ดพะโล้, ขนมไทย, ห่อหมกยักษ์ และสละทรงเครื่อง ฯลฯ ทั้งนี้ ในบริเวณวัดดอนหวายยังมีตลาดนัดสินค้าทางการเกษตรจำหน่ายทุกวันอีกด้วย

          การเดินทาง

          รถยนต์ : เส้นทางแรก จากกรุงเทพฯ สามารถใช้เส้นทางสายถนนเพชรเกษม (สายเก่า) ทางเข้าตลาดดอนหวายจะอยู่เยื้องกับทางเข้าของลานแสดงช้างและฟาร์มจระเข้สามพราน ใช้ทางเข้าทางเดียวกับวัดไร่ขิงแล้วตรงไปประมาณ 10 กิโลเมตร ผ่านวัดไร่ขิง วัดท่าพูด ตลาดดอนหวายจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ, เส้นที่สอง จากถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี (สายใหม่) เข้าทางพุทธมณฑลสาย 5 ซ้ายมือมีป้ายบอกทางไปวัดไร่ขิง เข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร ไม่ไกลนักจะมีป้ายวัดไร่ขิง ป้ายที่ 2 ให้เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 4.5 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายตรงทางสามแยกไปตลาดน้ำดอนหวายตลาดจะอยู่ทางซ้ายมือ

          รถโดยสารประจำทาง : นั่งรถโดยสารประจำทางปรับอากาศชั้น 2 จากสถานีขนส่งสายใต้ สายเก่า (กรุงเทพฯ-อ้อมใหญ่-สามพราน- นครปฐม) กรุงเทพฯ-ราชบุรี กรุงเทพฯ- บางลี่ กรุงเทพฯ- สุพรรณบุรี ลงปากทางเข้าวัดไร่ขิงแล้วต่อรถโดยสารประจำทางเข้าไป ตลาดดอนหวายจะอยู่เลยวัดไร่ขิงไปประมาณ 10 กิโลเมตร

          ที่อยู่ : ตำบลบางกระทึก หลังวัดดอนหวาย จังหวัดนครปฐม
          วันเวลาเปิดทำการ : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น.
          โทรศัพท์ : ประชาสัมพันธ์จังหวัดนครปฐม 0 3434 0011-2
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำวัดดอนหวาย


 12. ตลาดน้ำหัวหิน





          ตลาดน้ำหัวหิน เป็นตลาดน้ำที่ประยุกต์ระหว่างวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต ให้เข้ากับการท่องเที่ยวในปัจจุบัน โดยมีคอนเซ็ปต์ คือ แปลกใหม่ ยิ่งใหญ่ หรูหรา บนเนื้อที่กว่า 40 ไร่ อีกทั้งยังสวยงามด้วยสถาปัตยกรรม และการตกแต่งสไตล์หัวหินย้อนยุค รวมถึงความหลากหลายของสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า งานฝีมือเย็บปักถักร้อยสุดประณีต ของที่ระลึกเก๋ ๆ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ นอกจากนี้ ยังมีโชว์การแสดง แสง สี เสียง และกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ร่วมถ่ายรูปกับฟาร์มแกะ ป้อนอาหารปลาคาร์ฟสีสวยด้วยขวดนม พายเรือชมความงามของอาคารสุดคลาสสิก

          การเดินทาง

          จากถนนเพชรเกษม เลี้ยวเข้าสู่ถนนหัวนา-ทับใต้ ตรงไปแล้วเลี้ยวเข้าซอยหัวหิน 112 จะพบตลาดน้ำหัวหินอยู่ภายในซอยหัวหิน 112

          ที่อยู่ : 99/9 ซอยหัวหิน 112 อาคาร ใกล้กับวัดทับใต้ ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
          วันเวลาเปิดทำการ : วันจันทร์-พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 09.30-19.30 น. ส่วนวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 09.30-20.00 น.      
          โทรศัพท์ : 0 3282 7888, 08 1197 7774, 08 4314 4449, 08 4315 5550, 08 9258 8884
          เว็บไซต์ : huahinfloatingmarket.com


 13. ตลาดน้ำลำพญา



                เป็นตลาดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนครชัยศรี (แม่น้ำท่าจีน) อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-40 นาทีก็ถึงแล้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสำหรับผู้ที่นิยมชมชอบกับบรรยากาศธรรมชาติริมน้ำ รวมทั้งชมปลานานาชนิดนับแสนตัวแหวกว่ายรอนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัส ตลอดเส้นทางเมื่อท่านเดินทางเข้าสู่เขตอำเภอบางเลนท่านจะได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในย่านนี้ได้เป็นอย่างดี จากสองฝั่งถนนเป็นทุ่งนา ไร่ สวนที่เรียงรายสลับกันไป บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ในละแวกนี้

          ซึ่งส่วนใหญ่ที่นี่มีอาชีพทำการเกษตรปลูกพืชผักผลไม้ เมื่อเดินทางถึงตลาดน้ำวัดลำพญา ความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่สัมผัสได้ นอกจากบรรยากาศของต้นไม้น้อยใหญ่ที่ให้ความร่มเย็นแล้วยังมีรอยยิ้มของผู้คนที่เดินผ่านไปมา และบรรยากาศการค้าขายที่คึกคักเป็นกันเองของแม่ค้าจำนวนมาก ที่ตั้งอยู่บริเวณริมเขื่อนชายแม่น้ำและในแพทางเดินตลอดริมแม่น้ำหน้าวัดลำพญา

          การเดินทาง

          รถยนต์ : เส้นทางแรกสายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ขับตรงไปจนถึงบริเวณสะพานลอยเข้าสู่ศาลายา เลี้ยวขวาขึ้นสะพานและขับตรงไป ผ่านมหาวิทยาลัยมหิดลแล้วเลี้ยวซ้าย ผ่านหน้าที่ว่าการอำเภอพุทธมณฑล ถึงสถานีตำรวจพุทธมณฑลแล้วให้เลี้ยวขวาขับรถตรงไปอีกประมาณ 24 กิโลเมตร ก็จะพบวัดลำพญาอยู่ทางซ้ายมือ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที และเส้นทางที่สอง ใช้เส้นทางสายบางบัวทอง ขับตรงไปประมาณ 10 กิโลเมตร ให้สังเกตป้ายเข้าสู่อำเภอบางเลนด้านซ้ายมือ แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร จะพบทางแยกซ้ายมืออีกครั้ง (ก่อนข้ามสะพานแม่น้ำท่าจีน) ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตร ก็จะพบวัดลำพญาอยู่ทางขวามือ

          รถโดยสารประจำทาง : บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการรถโดยสารประจำทางสายกรุงเทพฯ-นครปฐม โดยให้มาลงที่ตัวตลาด แล้วจากนั้นให้นั่งรถสองแถวสายนครปฐม-ลำพญา ให้ลงที่หน้าวัดลำพญา หรือจะขึ้นที่ตลาดตัวเมืองนครปฐม สายลำพญา-ทุ่งน้อย มาลงที่หน้าวัดลำพญาโดยตรง

          ที่อยู่ : วัดลำพญา ตำบลลำพญา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม
          วันเวลาเปิดทำการ : วันศุกร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
          โทรศัพท์ : 08 1721 4874, 08 1659 7371, 08 1763 4179
          เว็บไซต์ : lumphaya.com


 14. ตลาดน้ำบางน้อย




          ตลาดน้ำบางน้อย เป็นตลาดน้ำที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสงคราม อยู่ปากคลองที่เชื่อมกับแม่น้ำแม่กลองเหมือนกับตลาดน้ำอัมพวา ที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วยการคงเอกลักษณ์ของห้องไม้เรียงแถวเก่า ๆ บ้านที่ยังคงสภาพจริงเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต เน้นการค้าขายที่เป็นกันเอง ด้วยการแวะชม ชิม อาหาร พร้อมช้อปของฝาก นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ตั้งเซียมฮะ (บ้านไหพันใบ) สถานที่เก็บวัตถุโบราณ เช่น เครื่องปั่นดินเผาแบบต่าง ๆ ที่จมอยู่ในแม่น้ำและมีคนงมขึ้นมาขาย เก็บสะสมไว้และได้เปิดในผู้ที่มาเยี่ยมตลาดได้มาชมและศึกษากัน นอกจากการท่องเที่ยวชม ชิม เดินชิลแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ คือ ตลาดผลไม้สด ๆ จากสวนของชาวบ้าน ที่นำมาวางขายในราคาย่อมเยาเลยล่ะคะ

          การเดินทาง 

          ตลาดน้ำบางน้อยอยู่บริเวณท่าน้ำวัดเกาะแก้ว มีลานจอดรถขนาดใหญ่ของวัด อยู่บนเส้นทางเข้าเมืองสมุทรสงคราม ใช้เส้นทางเดียวกันกับตลาดน้ำอัมพวา ถึงแยกเข้าอัมพวาตรงไปอีก ประมาณ 5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้า สส.6002 (ทางไปบางคนที) ถึงแยกไฟแดงเลี้ยวขวาเล็กน้อยก็เป็นทางเข้าวัดเกาะแก้ว

          ที่อยู่ : ปากคลองบางน้อย หน้าวัดเกาะแก้ว ตำบลกระดังงา อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00-1500 น.
          โทรศัพท์ : สำนักงานเทศบาลตำบลกระดังงา 0 3476 1537 ต่อ 105 ในเวลาราชการ
          เว็บไซต์ : www.bangnoi.com
         
          
  15. ตลาดน้ำคลองแห



          ตลาดน้ำคลองแห เป็นตลาดน้ำเชิงวัฒนธรรมแห่งแรกและแห่งเดียวของภาคใต้ ผสมผสานระหว่างตลาดที่จำหน่ายสินค้าในเรือและตลาดโบราณ ที่เน้นการฟื้นฟูคลองแห ซึ่งเป็นลำคลองสายเล็ก ๆ ให้กลับมาเป็นคลองสะอาด กว้างขวาง ทั้งรูปแบบของตลาดน้ำ การแต่งกายของพ่อค้าแม่ค้าที่ร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรม ด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติบรรจุสินค้า เช่น ใช้กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำ ใช้กระทงใบตอง และกะลามะพร้าวเป็นภาชนะใส่อาหาร มีทั้งอาหารคาวหวานและอาหารพื้นบ้าน เช่น เต้าคั่ว ข้าวยำปักษ์ใต้ ขนมจีน ฯลฯ ส่วนขนม เช่น ขนมมด ขนมด้วง ขนมโค ขนมไทยแทบทุกชนิด และขนมพื้นบ้านภาคใต้ทุกอย่างสามารถหาทานได้ที่ตลาดน้ำแห่งนี้ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสินค้าพื้นบ้าน จากภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกมากมายตั้งอยู่ที่ท่าน้ำวัดคลองแห

           การเดินทาง 

           สามารถเข้าถึงตลาดน้ำได้สองทาง ทางแรกเข้าทางถนนนิพัทธ์สงเคราะห์ 5 หรืออีกเส้นทางหนึ่งใช้ถนนลพบุรีราเมศวร์ (ทาง 414) และใช้เส้นทางที่จะไปสงขลา จะเห็นป้ายทางเข้าตลาดน้ำคลองแห ให้กลับรถเข้าตลาดน้ำ

           ที่อยู่ : ตั้งอยู่ ริมฝั่งคลองตรงข้ามกับวัดคลองแห อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
           วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวันศุกร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00-22.00 น.
           โทรศัพท์ : 0 7430 5333
           เว็บไซต์ :  เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำคลองแห (klong hae Floating market)


  16. ตลาดน้ำบางคล้า


           ตลาดน้ำบางคล้า มีลักษณะเฉพาะตัว โดยเป็นโป๊ะยื่นลงสู่แม่น้ำบางปะกง ภายในเต็มไปด้วยเรือมาจอดขายสินค้าเรียงแถวกันเต็มทั้ง 3 โป๊ะ เช่น อาหารหน้าตาดูดีหลากหลายอย่าง ผลไม้พื้นบ้าน และของที่ระลึกให้เลือกชมเลือกชิมกันจุใจ อาหารน่าชิมมีให้เลือกละลานตาในเรือที่เรียงแถวอยู่สองฝั่งของโป๊ะ เช่น ผัดไทยกระทะกลม ที่ผัดทีละจานทำให้แต่ละจานได้เครื่องครบเท่า ๆ กัน ก๋วยจั๊บพะโล้เจ๊ไพ ก๋วยเตี๋ยว เกี๊ยวปลา ส้มตำ ไก่ย่าง ยำถั่วพู กุ้งสะเต๊ะ กุ้งแม่น้ำเผาสด ๆ หยิบจากกระชังข้าง ๆ เรือกันเลย ไข่ตุ๋นดีไซน์น่ารัก ห่อหมก ขนมหวานก็มีให้เลือกหลายอย่าง เช่น ถั่วแปบหลากสี ขนมถ้วย ลอดช่องดอกอัญชัน ลูกตาล ลูกจาก ข้าวหลามในลูกมะพร้าว ไอศกรีมโฮมเมด ทั้งอาหารคาวและหวานที่นี่น่ากิน รวมถึงพ่อค้าแม่ค้ายิ้มแย้มต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

           แต่ถ้าไปเยือน ตลาดบางคล้า แล้วอย่าพลาดไปชิมปลาโจ้โล้ ปลากะพงตัวโตจากกระชังแม่น้ำบางปะกง เผาแล้วรสชาติดีไม่มีกลิ่นคาว กับน้ำจิ้มจัดจ้านถึงใจ ก๋วยเตี๋ยวคลุก ใส่เต้าหู้ขาวชิ้นเล็ก ๆ ไชโป้วบด กระเทียมเจียว กากหมู กุ้งแห้ง หมูหวาน และก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ ร้านบนบก มีไส้ให้เลือก เช่น ไชโป้ว กุยช่าย หน่อไม้ น้ำแกงมีทั้งขาไก่และกระดูกหมูตุ๋นเปื่อยกลิ่นหอมรื่น ใส่พริกผัดลงไปสักหน่อยก็มีรสชาติแบบชนบทที่ชวนคิดถึงเลยทีเดียว

           การเดินทาง

           เส้นทางสายมอเตอร์เวย์ (กรุงเทพ-ชลบุรี) เลี้ยวซ้ายออกฉะเชิงเทรา ผ่านเข้าตัวเมือง วิ่งเข้าทางหลวงหมายเลข 304 มุ่งหน้าเข้าสู่อำเภอพนมสารคาม ถึงกิโลเมตรที่ 17 เลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอบางคล้า จะเห็นป้ายทางไปตลาดน้ำบางคล้า

           รถประจำทาง : กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา มีรถออกตั้งแต่เวลา 05.00-20.30 น.

           รถไฟ : ออกจากสถานีหัวลำโพงไปฉะเชิงเทราทุกวัน วันละ 11 ขบวน เที่ยวแรกเวลา 05.55 น. เที่ยวสุดท้ายเวลา 18.25 น. ถึงฉะเชิงเทราแล้วต้องต่อรถไปอำเภอบางคล้าอีกต่อหนึ่ง

        ที่อยู่ : ตลาดน้ำบางคล้า อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
        วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.
        โทรศัพท์ : ประธานชมรมตลาดน้ำ 08 1632 4735
        เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำบางคล้า

 17. ตลาดน้ำปากช่อง





          สวยระรานตา อิ่มระรานใจ ชิมบรรยากาศสุขใจที่ตลาดน้ำอำเภอปากช่อง อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากให้คุณได้เข้ามาลองสัมผัสบรรยากาศตลาดน้ำที่รายรอบด้วยขุนเขา ในอำเภอปากช่อง พื้นที่ต่าง ๆ ภายในโครงการเอื้ออำนวยกับการแสดงสินค้า และงานอีเว้นท์ ต่าง ๆ สถานที่เหมาะแก่การทัศนศึกษาให้ความรู้แก่นักเรียน และยังเปิดรับผู้ประกอบการที่มีสินค้า OTOP ทั่วประเทศ

          การเดินทาง

          1. เส้นทางแรกจากกรุงเทพฯ เดินทางสู่สระบุรี เลี้ยวขวามุ่งสู่ปากช่อง ผ่านเส้นทางเลี่ยงเมือง จากโลตัสถึงโชว์รูปรถเชฟโรเลต 3 กิโลเมตร และกลับรถผ่านปั๊มบางจาก และ ปตท. อีก 1 กิโลเมตร ทางด้านซ้ายเห็นแยกเข้าสู่ตลาดน้ำปากช่อง เข้าไปอีกระยะทาง 2 กิโลเมตร ถึงสู่ตลาดน้ำปากช่องค่ะ

          2. เส้นทางที่สองจากนครราชสีมา เข้าสู่ปากช่อง ผ่านเส้นทางเลี่ยงเมืองจากศูนย์ฝึกสุนัขทหารปากช่อง ตรงไป 5 กิโลเมตรพบปั๊มบางจาก และ ปตท. ทางด้านซ้ายเห็นแยกเข้าสู่ตลาดน้ำปากช่อง เข้าไปอีกระยะทาง 2 กิโลเมตร ถึงตลาดน้ำปากช่อง

          3. เส้นทางที่สามจากเขาใหญ่ ถนนธนะรัชต์ กม.4 พบเซเว่น-อีเลฟเว่นให้ตรงเข้ามา ผ่านโบนันซ่า เข้าไปเพียง 5 กิโลเมตร ถึงตลาดน้ำปากช่อง

          ที่อยู่ : 78 ถนนบายพาสเลี่ยงเมืองปากช่อง ตำบลขนงพระ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวัน (หยุดอังคาร) ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.
          โทรศัพท์ : 08 8719 8675, 0 4436 5443 และ 0 4436 5444
          เว็บไซต์ : taladnampakchong.com


 18. ตลาดน้ำท่าคา

           ตลาดน้ำท่าคา เป็นอีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวทางน้ำที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ ของวิถีชีวิตชาวบ้านกับอาชีพทำสวนปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ชาวบ้านจะพายเรือนำผลผลิต พืชผักและผลไม้จากสวน เช่น พริก หอม กระเทียม น้ำตาลมะพร้าว ฝรั่ง มะพร้าว ชมพู่ และส้มโอ มาขาย-แลกเปลี่ยนกัน เฉพาะในวันขึ้นหรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ (ทุก ๆ 5 วัน) ตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00–11.00 น. นอกจากนี้ ยังสามารถติดต่อเช่าเรือพายเที่ยวชมหมู่บ้านและเรือกสวนผลไม้ในบริเวณนั้นได้อีกด้วย

          การเดินทาง 

          ไปตามทางหลวงหมายเลข 325 (สมุทรสงคราม-บางแพ) กิโลเมตรที่ 32 (เลยทางแยกเข้าวัดเกาะแก้วไปเล็กน้อย) มีทางแยกขวาไปอีก 5 กิโลเมตร หรือเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางขึ้นรถได้ที่ตลาดตัวเมือง หน้าธนาคารทหารไทย สายท่าคา-วัดเทพประสิทธิ์ ตั้งแต่เวลา 07.00–18.00 น. รถออกทุก 20 นาที

          ที่อยู่ : ตลาดน้ำท่าคา ตำบลท่าคา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม
          วันเวลาเปิดทำการ : เฉพาะในวันขึ้นหรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ ตั้งแต่เวลา 07.00-12.00 น
          โทรศัพท์ : ประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสงคราม 0 3471 4881


 19. ตลาดน้ำวัดตะเคียน



          ตลาดน้ำขนาดเล็ก ๆ ที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีชีวิตชุมชนริมคลองในแบบไทย ๆ ที่มีของกินมากมาย ส่วนใหญ่เน้นอาหารพื้นบ้านของจังหวัดนนทบุรี เปิดอย่างเป็นทางการโดย หลวงปู่แย้ม มาทำพิธีเปิดพร้อมได้พรมน้ำมนต์ให้กับเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ที่เตรียมตัวมาพายเรือค้าขายอยู่บริเวณตลาดน้ำวัดตะเคียนแห่งนี้ โดยกิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจภายในตลาดน้ำ คือ การล่องเรือชมทัศนียภาพสองฝั่งคลองบางคูเวียงและคลองบางราวนก ชมวิถีชีวิตของชาวบ้านริมคลองที่ยังรักษาบ้านเรือนไทยโบราณ ที่เต็มไปด้วยสีสันของธรรมชาติและร่องรอยอารยธรรมได้เป็นอย่างดี

          การเดินทาง 

          หากไปทางรถยนต์เริ่มต้นจากแยกแคราย จังหวัดนนทบุรี วิ่งตรงไปข้ามสะพานพระราม 5 จากนั้นวิ่งตรงไปตามถนนนครอินทร์ จนถึงถนนกาญจนาภิเษก ให้กลับรถใต้สะพานก่อนข้ามแยก แล้วมุ่งหน้าย้อนกลับมาทางเดิมประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นสะพานลอยให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปช่องคู่ขนาน และเลี้ยวซ้ายเข้าไปตรงป้ายวัดตะเคียน สอบถามเส้นทางได้ที่ โทรศัพท์ 0 2595 1851, 08 1921 0946

          ที่อยู่ : ถนนพระราม 5 ถนนนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรี
          วันเวลาเปิดทำการ : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น.
          โทรศัพท์ : 08 6976 1686
          เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ตลาดน้ำวัดตะเคียน


 20. ตลาดน้ำบางคูเวียง

          ตลาดน้ำบางคูเวียง อาจจะยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก เพราะตั้งอยู่ปากคลองบางคูเวียง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตลาดของชาวบ้านที่ต้องการนำผลไม้ตามฤดูกาลบรรทุกเรือมาค้าขายกัน นอกจากนี้ ยังมีอาหารและสินค้าอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน โดยทุกเช้าพระภิกษุจากวัดบริเวณใกล้เคียงจะออกบิณฑบาตโดยใช้เรือลำเล็ก ๆ เป็นพาหนะ นับเป็นภาพที่สะท้อนวิถีชีวิตแบบไทยดั่งเดิมไว้เป็นอย่างดี เพราะยังนับวันจะหาดูได้ยาก

         การเดินทาง

         รถยนต์ : เริ่มต้นจากแยกแคราย จังหวัดนทบุรี วิ่งตรงไปข้ามสะพานพระราม 5 จากนั้นวิ่งตรงไปตามถนนนครอินทร์ จนถึงถนนกาญจนาภิเษก ให้กลับรถใต้สะพานก่อนข้ามแยก แล้วมุ่งหน้าย้อนกลับมาทางเดิมประมาณ 1 กิโลเมตร จะเห็นสะพานลอยให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปช่องคู่ขนาน และเลี้ยวซ้ายเข้าไปตรงป้ายวัดตะเคียน และต้องนั่งเรือต่อเข้าไปที่ตลาดน้ำบางคูเวียง ซึ่งมีท่าเรือ ดังนี้…

         เรือ : โดยสารเรือจากท่าน้ำวัดชะลอ อำเภอบางกรวย ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ค่าโดยสารคนละ 5 บาท ออกทุก ๆ 15 นาที ระหว่าง 05.00-20.00 น., จากท่าน้ำนนทบุรี (ท่าพิบูลสงคราม 2) ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ค่าโดยสารคนละ 5 บาท กรณีเช่าเรือเหมาลำใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง และเช่าเรือจากท่าช้าง กรุงเทพฯ ใช้เส้นทางคลองบางกอกน้อย-คลองอ้อมตลาดน้ำบางคูเวียง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

         ที่อยู่ : ตั้งอยู่ปากคลองบางคูเวียง ตำบลบางคูเวียง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
         วันเวลาเปิดทำการ : วันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น.


         เป็นยังไงกันบ้าง เต็มอิ่มกับ 20 ตลาดน้ำสุดฮิตที่เรามาฝากกันแล้ว ตอนนี้ก็คงถือเวลาที่เราจะวางแผนการเที่ยว ช้อป ชม ชิม เดินชิล ๆ ที่ตลาดน้ำสักที อย่างนี้ต้องเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศด้วยตัวเองแล้วล่ะ

ขอขอบคุณแหล่งที่่มาhttp://travel.kapook.com/view62243.html

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประวัติวันฮาโลวีน 31 ตุลาคม วันฮาโลวีน Halloween / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)


 วันฮาโลวีน 


          วันฮาโลวีน ภาษาอังกฤษ Halloween ตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี อ่าน ประวัติวันฮาโลวีน ความหมาย Halloween
          "Trick or treat!" คำฮิตติดหูประจำเทศกาลฮาโลวีน (วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี) หลายคนรู้ว่า สัญลักษณ์ประจำฮาโลวีนต้องมีปาร์ตี้แต่งกายชุดภูตผีปีศาจ และต้องมีฟักทองเจาะหน้าตาแปลกๆ … แต่แล้วทราบหรือไม่ว่า ประวัติฮาโลวีน มีความสำคัญอย่างไร
ฮาโลวีนความหมาย และประวัติวันฮาโลวีนภาษาอังกฤษ   

          ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ เพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves ซึ่งแปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยวิธีตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำว่า Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำว่า Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่าๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ)

          คำว่า Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ นักบุญ ดังนั้น All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง

          วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Christmas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อมาย่อเป็น Halloween โดยมีงานรื่นเริงและพิธีกรรมทางศาสนาเช่นเดียวกับคืนคริสต์มาส ชาวคาทอลิกพร้อมใจกันเลื่อนพิธีกรรมทางศาสนาไป หลังวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย และเรียกว่า วันวิญญาณในแดนชำระ (All Souls Day) เพื่อให้คู่กับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย (All Saints Day) 


 ความเป็นมาของวันฮาโลวีน

          วันฮาโลวีนของทุกปี จะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เชื่อว่ามีที่มาจากวันฉลองปีใหม่ของชาวเซลท์ (Celt) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่เรียกว่า Samhain ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งความตาย ทั้งนี้ ในวันที่ 31 ตุลาคม ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเผ่าหนึ่งในไอร์แลนด์ ถือกันว่าเป็นวันสิ้นสุดของฤดูร้อน และวันต่อมา คือ วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันขึ้นปีใหม่

          ซึ่งในวันที่ 31 ตุลาคมนี่เองที่ชาวเคลต์เชื่อว่า เป็นวันที่มิติคนตาย และคนเป็นจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในปีที่ผ่านมา จะเที่ยวหาร่างของคนเป็นเพื่อสิงสู่ เพื่อที่จะได้มีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เดือดร้อนถึงคนเป็น ต้องหาทุกวิถีทางที่จะไม่ให้วิญญาณมาสิงสู่ร่างตน ชาวเคลต์จึงปิดไฟทุกดวงในบ้าน ให้อากาศหนาวเย็น และไม่เป็นที่พึงปรารถนาของบรรดาผีร้าย และยังพยายามแต่งกายให้แปลกประหลาด ปลอมตัวเป็นผีร้าย และส่งเสียงดัง เพื่อให้ผีตัวจริงตกใจหนีหายสาบสูญไป

          นอกจากนี้คืนดังกล่าวยังเป็นคืนเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว และอาจมีการนำสัตว์ หรือพืชผลมาบูชายัญให้กับเหล่าภูติผี และวิญญาณด้วย หลังจากคืนนั้นไฟทุกดวงจะถูกดับ และจุดขึ้นใหม่ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ของชาวเซลท์

          บางตำนานยังเล่าถึงขนาดว่า มีการเผา "คนที่คิดว่าถูกผีร้ายสิง" เป็นการเชือดไก่ให้ผีกลัวอีกต่างหาก แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ที่ความคิดเรื่องผีสางยังฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ ต่อมาในศตวรรษแรกแห่งคริสตกาล ชาวโรมันรับประเพณีฮาโลวีนมาจากชาวเคลต์ แต่ได้ตัดการเผาร่างคนที่ถูกผีสิงออก เปลี่ยนเป็นการเผาหุ่นแทน

          ในสมัยต่อชาวโรมันคาทอลิกต้องการกำจัดพิธีเฉลิมฉลอง ของกลุ่มชนนอกศาสนาคริสต์เหล่านี้ สันตะปาปา Gregory ที่ 4 จึงได้กำหนดวันที่ 1 พฤศจิกายนให้เป็นวันเฉลิมฉลอง All Saints Day หรือ All Hallows Day สำหรับชาวคริสต์เพื่อระลึกถึงนักบุญ และผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่การเฉลิมฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมหรือ Hallow´s Eve ก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันแต่ชื่อเรียกได้เพี้ยนไปเป็น Halloween

          กาลเวลาผ่านไป ความเชื่อเรื่องผีจะสิงสูร่างมนุษย์เสื่อมถอยลงตามลำดับ ฮาโลวีนจึงกลายเป็นเพียงพิธีการ การแต่งตัวเป็นผี แม่มด สัตว์ประหลาดตามแต่จะสร้างสรรค์กันไป

 วันฮาโลวีนจากอังกฤษสู่อเมริกา 

          เดิมเทศกาลฮาโลวีนจัดขึ้นในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ สกอตแลนด์ และประเทศข้างเคียงเท่านั้น แต่เมื่อชาวไอริช และชาวสกอตอพยพไปตั้งหลักแหล่งในสหรัฐอเมริกา ในช่วงทศวรรษที่ 1840 ก็นำเอาประเพณีนี้ไปปฏิบัติด้วย ปรากฏว่าถูกใจชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ จึงปฏิบัติตามกันอย่างจริงจังตลอดมา และตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็กลายเป็นเทศกาลประจำชาติมาจนทุกวันนี้ 



 กิจกรรมในวันฮาโลวีน 

          การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันในสหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน ในประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง เรียกว่า การเล่น Trick or Treat (หลอกหรือเลี้ยง) คือการเดินเคาะประตูขอขนมตามบ้าน

          เคล็ดอีกอย่างหนึ่งของเทศกาลฮาโลวีน นอกจากเคาะประตูขอขนมตามบ้านต่างๆ แล้ว ยังมีการนำ แอปเปิ้ล กับเหรียญชนิดหกเพ็นซ์ใส่ลงในอ่างน้ำ หากใครสามารถแยกแยะของสองอย่างนี้ ออกจากกันได้ด้วยการใช้ปากคาบเหรียญขึ้นมา และใช้ส้อมจิ้มแอปเปิ้ลให้ติดเพียงครั้งเดียวถือว่าผู้นั้นจะโชคดีตลอดปีใหม่ที่กำลังมาถึง

          ทางด้านสาวอังกฤษสมัยก่อนจะออกไปหว่านและไถกลบเมล็ดป่านชนิดหนึ่งในยามเที่ยงคืนของวันฮาโลวีน พร้อมกับเสี่ยงสัตย์อธิษฐานด้วยการท่องคาถาว่า "เจ้าเมล็ดป่านที่ข้าหว่านจงช่วยบันดาลให้ผู้ที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของข้าปรากฎตัวให้เห็น" หลังจากนั้นลองเหลียวมองผ่านบ่าด้านซ้ายของตนเองดู ก็จะได้เห็นนิมิตเรือนร่างของผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของตน (นี่คือความเชื่อของสาวๆ อังกฤษ)

 การเล่น Trick or Treat

          สำหรับประเพณี ทริกออร์ทรีต (Trick or Treat แปลว่า หลอกหรือเลี้ยง) นั้น เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยชาวยุโรป ซึ่งถือว่า วันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นวัน "All Souls" พวกเขาจะเดินร้องขอ "ขนมสำหรับวิญญาณ" (soul cake) จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง โดยเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมเค้กมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาคก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น

          ประเพณีทริกออร์ทรีต ในสหรัฐอเมริกา คือ การละเล่นอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอยในวันฮาโลวีน ตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทอง และตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆ ไว้เตรียมคอยท่า

          ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซี เป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี (เด็ก) เหล่านั้น ราวกับว่า ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด

          ในสมัยโบราณมีการกล่าวขานกันว่าเด็กๆ ไม่ได้ขนม จะแกล้งเจ้าของบ้าน เช่น ใส่ไข่ดิบในตู้จดหมายในคืนเทศกาลฮาโลวีน คนส่วนใหญ่จึงมีขนมและลูกกวาดเตรียมไว้เพื่อจะไม่ต้องโดนผี (เด็กๆ) แกล้ง
       
          และที่ขาดไม่ได้สำหรับเทศกาลฮาโลวีนเลย คือ การประดับประดาแสงไฟ และการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เจาะทำตาจมูก และปากที่แสยะยิ้ม เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)



 ตำนานแกะสลักฟักทอง แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)

          ตำนานที่เกี่ยวกับฟักทองนั้น เป็นตำนานพื้นบ้านของชาวไอริช กล่าวถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ "ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก"แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ เพราะเขามีความคิดไปในทางของความชั่วร้าย ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก เพราะเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจไว้ ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อให้เขาใช้นำทางไปในทางที่มืดมิด และหนาวเย็น และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น

          ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง "การหยุดยั้งความชั่ว" Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่าฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน

 เครื่องดื่มวันฮาโลวีน 

          โดยธรรมเนียมแล้ว วันฮาโลวีน เป็นวันถือศีล และไม่ดื่มสุราหรืออาหารฟุ่มเฟือย อาจมีโซลเค้ก (Soul Cake) ซึ่งเป็นขนมตามธรรมเนียมดั้งเดิมของงานวันฮาโลวีน หรือ อาหาร ที่ไม่ใช่เนื้อ และเมื่อได้รับโซลเค้กให้สวดภาวนาแด่ผู้ล่วงลับเป็นการตอบแทน (อย่างไรก็ดี นี่เป็นละครในงานวัน "ฮาโลวีน" ไม่ใช่พิธีกรรม ดังนั้นการจัดงานเลี้ยงในบ้านเราคงจะต้องมีขนม, น้ำ และอาหารเป็นธรรมดา)


          อย่างไรก็ตาม คนไทยปัจจุบันรู้จักเทศกาลฮาโลวีนเหมือนกับที่รู้จักเทศกาลต่างๆ ตามประเพณีของชาวยุโรป เช่น อีสเตอร์ วันขอบคุณพระเจ้า วันคริตสต์มาส หรือวันวาเลนไทน์ ซึ่งในคืนวันฮาโลวีนในกรุงเทพฯ มักจะจัดงาน โดยเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวยามราตรีแต่งกายด้วยชุดแฟนซี สวมหน้ากากเป็นปีศาจรูปร่างต่างๆ เพื่อเป็นสีสันยามค่ำคืนฮาโลวีน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
  

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กินเนื้อ-ชีสเพิ่มกรดร่างกาย / Admin POO (Tonan Asia Autotech)

กินเนื้อ-ชีสเพิ่มกรดร่างกาย

กระแสนิยมขณะนี้เป็นการเลือกบริโภคเฉพาะเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม ที่เชื่อว่าจะช่วยรักษารูปร่างให้ผอมเพรียวไว้ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง สามารถทำให้ระดับกรดของร่างกายเพิ่มขึ้นถึงระดับที่เป็นอันตราย และเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้

กินเนื้อ-ชีสเพิ่มกรดร่างกาย
ซูซาน ลันแฮม-นิว หัวหน้าฝ่ายโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ในอังกฤษ เปิดเผยว่า ร่างกายมนุษย์มีระบบควบคุมสมดุลความเป็นกรดและด่างในเลือดอยู่แล้วโดยธรรมชาติ มีปอดและไตเป็นหลัก โดยการหายใจออก ปอดจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นแหล่งด่างออกไป ส่วนไตรักษาสมดุลโดยขับกรดส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
การบริโภคอย่างสมดุลจะช่วยปกป้องกระดูก ซึ่งในการวิจัยพบว่า แหล่งของด่างในร่างกายตามธรรมชาติ ได้แก่ เกลือแร่ ( alkali salts) ที่มีอยู่ในกระดูก ซึ่งจะถูกดึงมาเมื่อร่างกายมีด่างไม่เพียงพอ ทำให้กระดูกอ่อนแอ โดยพบในกลุ่มผู้ชายที่บริโภคอาหารเพิ่มกรดสูง มีอัตราสูญเสียมวลกระดูกเพิ่ม 19% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่บริโภคอาหารที่เพิ่มด่างในร่างกายซึ่งได้แก่ผักและผลไม้


ขอบคุณที่มา : http://www.foodietaste.com

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

อะเวนิว ออฟ สตาร์ / Admin SD (Tonan Asia Autotech)


ด้วยอานิสงส์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกงในช่วงศตวรรษที่ ผ่านมา ผู้คนในเอเชียและที่อื่นๆ ล้วนคุ้นเคยกับทิวทัศน์ของเมืองนี้ ก่อนที่พวกเขาจะได้มาเยือนเสียด้วยซ้ำ อะเวนิว ออฟ สตาร์ เป็นสถานที่รำลึกถึงบุคคลที่มีส่วนทำให้ฮ่องกงกลายเป็น "ฮอลลีวูดแห่งตะวันออก" นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสถานที่นี้ยังจะได้ชมวิวอันตระการตาของเส้นขอบฟ้า ที่งดงามตัดกับเดอะพีคอย่างน่าประทับใจ
เรื่องราวความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกงถูกบอกเล่าผ่านแผ่นจารึก เกียรติคุณ รอยประทับมือของนักแสดง ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ของที่ระลึกเกี่ยวกับภาพยนตร์ รูปปฏิมากรรมขนาดเท่าตัวจริงของวีรบุรุษกังฟู บรูซ ลี และการจัดแสดงรูปสำริดของตัวการ์ตูนยอดนิยมอย่างแมคดัล อะเวนิว ออฟ สตาร์ นำเสนอความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮ่องกงโดยมีอ่าววิคตอเรียที่มี เสน่ห์ดึงดูดเป็นฉากได้อย่างลงตัว
ทราบหรือไม่?
"คุณสามารถย้อนรอยประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ฮ่องกงไปมากกว่าร้อย ปีได้ที่อะเวนิว ออฟ สตาร์ เริ่มจากผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องดังคนแรกของฮ่องกง ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ""บิดาของภาพยนตร์ฮ่องกง"" คุณไหลมั่นหวาย ซึ่งกำกับเรื่อง Zhuangzi Tests his Wife ในปี 1913 ไปจนถึงซูเปอร์สตาร์ระดับโลกในยุคปัจจุบัน ได้แก่ แจ็คกี้ ชาน และโจวเหวินฟะ
บรรยากาศของที่นี่คึกคักอยู่ตลอดเวลาด้วยการจัดแสดงต่างๆ เกือบ 30 รายการในแต่ะละเดือน ประกอบด้วยการแสดงดนตรี ละครและการเต้นรำ และยังเป็นจุดชมการแสดงแสงสีเสียงในชุด ซิมโฟนี่ ออฟ ไลท์ อันยิ่งใหญ่อีกด้วย

ที่อยู่ : Promenade, Tsim Sha Tsui, Kowloon
ขอขอบคุณที่มา : เว็บไซต์:www.avenueofstars.com.hk

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2557 / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม

วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม ประวัติและความสำคัญของวันปิยมหาราช
 วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม
 วันปิยมหาราชตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม

ประวัติความเป็นมาของวันปิยมหาราช


     เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่ เคารพรักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า
     ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า "วันปิยมหาราช"และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ
     เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น "กรุงเทพมหานคร" ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็น "สำนักพระราชวัง" ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติฉัตร 5 ชั้น ประดับโคมไฟ ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันปิยมหาราช
     วันปิยมหาราช ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ซึ่งมีความหมายว่า "พระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน" ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็น "วันปิยมหาราช"

พระราชประวัติ


      พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่สี่ ในพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ประสูติแต่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2396 ณ พระตำหนักเดิมตรงพระที่นั่งสมมติเทวราชอุบัติ ในหมู่หนึ่งของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ทรงมีพระนามชั้นเดิมว่า " เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ " ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับผม หรือ พระเกี้ยว สำหรับ ประดับหัวจุกของเด็กไทยโบราณี

"ทรงเป็นสมเด็จพระปิโยรส ของสมเด็จพระบรมชนกนาถตั้งแต่ทรงพระเยาว์วัย"

     เมื่อทรงเจริญพระชันษาสมควรแก่การศึกษา ได้ทรงพระอักษร และเริ่มเรียนในสำนักพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุตรี ขัตติยราชนารี ผู้ทรงรอบรู้ศิลปวิทยาการหลายแขนง ตลอดจนโบราณราชประเพณี และได้ทรงศึกษาภาษาบาลี วิชาปืนไฟ มวยปล้ำ กระบี่กระบอง คชกรรม อัศวกรรม จากสำนักเจ้านายและขุนนางอื่นๆ ที่เป็นผู้ทรงความรู้อันสมควรแก่พระราชกุมาร สมเด็จพระราชบิดาผู้ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกล ทรงตระหนักดีว่าวิชาการสมัยใหม่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้ แต่ยังไม่มีในภาษาไทย จึงทรงว่าจ้างครูสตรีชาวอังกฤษมาสอนภาษาอังกฤษแก่สมเด็จพระบรมราชโอรสด้วย แม้ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ท่านก็ได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษตลอดเวลา นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เมื่อเสด็จต่างประเทศก็ตรัสภาษาอังกฤษได้ดี ส่วนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ราชประเพณี โบราณคดีทั้งปวงนั้น สมเด็จพระราชบิดาพระราชทานพระบรมราโชวาทฝึกสอนด้วยพระองค์เอง

     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น พระราชโอรสองค์ที่ 9 ในจำนวนพระราชโอรส ธิดาทั้งสิ้น 82 พระองค์ ในราชวงศ์จักรี ขณะพระชันษา 9 พรรษา ได้รับสถาปนาเป็น กรมหมื่นพิฆเณศวรสุรกาศ ตรงกับ ปีระกา พ.ศ. 2404 ต่อมาอีก 4 ปี ก็ได้รับสถาปนาเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ต่อมาใน ปีเถาะ พ.ศ. 2411 ได้ทรงกำกับราชการ ในกรมมหาดเล็ก กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมทหารบกวังหน้า ในช่วงซึ่งพระองค์ได้ ตามเสด็จพระราชบิดา เพื่อทอดพระเนตร สุริยปราคา ที่ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้เกิด ประชวรด้วยไข้ป่า อย่างแรงทั้งสองพระองค์ และในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระราชบิดา คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จสู่ สวรรคตใน ในขณะซึ่งเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ มีพระชนมายุเพียง 15 ปีกับ 10 วัน ทั้งยังทรงประชวรด้วยไข้ป่าอย่างหนัก เกือบจะสิ้นพระชันษาด้วย ได้รับให้สถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี ในวันเดียวกัน แต่ด้วยที่วัยพระองค์ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้ง เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ โดยความเห็นชอบของที่ประชุมเสนาบดี

วันปิยมหาราช

     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนาเมื่อวันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2416 และทรงลาผนวชใน วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2416 ทรงเข้าพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ครั้งที่ สอง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2416 ในปีต่อมาได้กระทำการสำคัญยิ่งใหญ่คือ การเลิกทาส พระองค์สามารถกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปโดยมิได้เกิดเหตุร้ายภายในขึ้นเยี่ยงการเลิกทาสในนานาประเทศ และทรงโปรดฯ ให้มีการตราพระราชบัญญัติเลิกทาส ในปี พ.ศ. 2417

      สมเด็จพระปิยมหาราช ทรงเป็นที่รักเทิดทูนของปวงชนชาวไทย ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ นานถึง 42 ปี ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารทุกพระองค์ ด้วยพระจริยวัตรและพระปรีชาสามารถอย่างเฉลียวฉลาด ของพระองค์ ได้ทรงเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงประเทศ โดยการวางรากฐานความเจริญในด้านต่างๆ ตลอดเวลา 42 ปี ในรัชสมัยของพระองค์ประเทศไทยรุดหน้าทัดเทียมอารยประเทศ ทรงพัฒนาฟันฝ่าอุปสรรค นานับประการ ทั้งต่อสู่กับการไล่ล่าเมืองขึ้นของบรรดาชาติมหาอำนาจ ในยุคนั้นมาได้ แม้จะเป็นการสูญเสียดินแดน ไปบางส่วน แต่พระองค์ทรงไว้ซึ่งความสุขุม พาประเทศชาติของพระองค์รอดพ้น จากการตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งสำหรับซีกโลกส่วนนี้ของโลก ที่ ประเทศสยามแห่งนี้มิได้ตกเป็นทาสใคร ด้วยสายพระเนตรมองไกลของพระองค์ ได้ทรงพัฒนานำความเจริญ ก้าวหน้า เร่งรัดในแขนงต่างๆ ทั้ง การพัฒนาคน พัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาระบบเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน และความมั่นคงของบ้าน อีกทั้งพระองค์ยังทรงสนพระทัยถึงความเป็น อยู่ของประชาชน ทรงออกเยี่ยมประชาราษฎร์ อยู่เป็นเนืองนิจ พระองค์จึงเป็นที่จงรักภักดี ของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน

      การเสด็จยังต่างประเทศ เปรียบเสมือนเปิดประตูสู่โลกกว้างในช่วงของต้นรัชกาล พระองค์ทรงเสด็จประพาส สิงคโปร์ ชวา พม่า อินเดีย และ หลายๆ ประเทศ ทรงเสด็จประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง ด้วยกัน คือในปี พ.ศ. 2440 และในปี พ.ศ. 2450 แนวทางความสัมพันธ์ด้วยการทูตของพระองค์ท่าน ทำให้เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศทั่วยุโรป ข้อพิพาท และปัญหาต่างๆ ก็ได้คลายเบาบางลง ความลึกซึ้งพระปรีชาของพระองค์ ได้ทำให้ปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องของชายแดน ไทย-อังกฤษ หรือกับฝรั่งเศส ได้ผ่อนคลายในที่สุด

วันปิยมหาราช

      ความล้ำลึกในพระปรีชาสามารถในด้านวรรณกรรม พระองค์ก็ทรงเป็นได้ทั้ง กวี และ นักประพันธ์ ที่มีความสามารถอย่างลึกซึ้งทีเดียว การแต่งโคลง ฉันท์ บทละคร กาพย์ กลอน หรือ ร้อยแก้ว ร้อยกรอง ทั้งที่พระองค์ทรงมีภารกิจอยู่มากมาย แต่ก็ด้วยพระวิรยะ อุตสาหะ ทรงสนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ดั่งที่ปรากฏผลงานเป็นที่ประจักษ์มีมากกว่า 30 เรื่อง ซึ่งก็มีบางเรื่องที่มีความหนาถึงกว่า 500 หน้าก็มี ดั่งบางพระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งของพระองค์


"ความรู้ คู่เปรียบด้วย กำลัง กายเฮย
สุจริต คือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง
ปัญญา ประดุจดัง อาวุธ
คุมสติ ต่างโล่ป้อง อาจแกล้ว กลางสนาม"


      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประชวร พระวักกะ (ไต) พิการ กระทั่ง เวลา 24 นาฬิกา 45 นาที ของคืนวันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2453 พระองค์ได้เสด็จสู่สวรรคต รวมพระชนอายุ 57 พรรษา ทรงเสวยราชย์ 42 ปี พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินสยาม ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณสุดคณานับทั้งประโยชน์ สุข ความเจริญรุ่งเรือง นำชาติให้เป็นที่ยอมรับของ นานาชาติ พระคุณสุดล้นที่จะพรรณนาจากใจของประชาชนชาวไทยได้หมด พระองค์จึงเป็นที่รักเคารพของคนไทยเสมอมา

     สมเด็จพระปิยมหาราช เป็นพระนามที่ได้รับการถวาย โดย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นผู้ทรงคิดถวาย ซึ่งปรากฏอยู่บนจารึกใต้ฐาน ของ พระบรมรูปทรงม้า (2451) พระนามนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงเขียน ชมเชย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ได้คิดพระนามนี้ถวาย

      วันที่ 23 ตุลาคม ของทุกๆ ปี ประชาชนคนไทย ทั้งชาติ ถือเป็นวันแห่งการน้อมรำลึกถึงพระองค์อย่างไม่มีเสื่อมคลาย วาระวันคล้ายวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรคต เป็นวันสำคัญที่สุดอีกวันหนึ่ง ที่จะเทิดพระเกียรติ พระปิยมหาราช ไว้ตลอดกาลนาน.

วันปิยมหาราชครั้งแรก

      พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราช ครั้งแรกเกิดขึ้นถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้วเสด็จฯ ไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์

วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม

คำว่าปิยมหาราช มาจากพระสมัญญาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช"

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา พระบรมราชินี) เมื่อ พระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ" ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมขุนพินิตประชานาถ" บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
ประวัติความเป็นมาของวันปิยมหาราช 
 เจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ (ร.5) เมื่อทรงพระเยาว์ ถ่ายโดยชาวต่างชาติ
      เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญ พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช
     ระหว่างที่สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม
     ในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตน เพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทยให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืน และนั่งตามโอกาสสมควร ไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน
ความสำคัญของวันปิยมหาราช ภาพพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 5ครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อปีพ.ศ.2516 
 พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 5 ครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
     เมื่อพระชนมายุบรรลุพระราชนิติภาวะ ได้ทรงผนวชเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วจึงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 และนับจากนั้นมาก็ทรงพระราชอำนาจเด็ดขาดในการบริหารราชการแผ่นดิน

วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม

ความสำคัญของวันปิยมหาราช

      ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ทรงปกครองทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ ดัวยรัฐสมบัติ พิทักษ์พสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข บำบัดภัยอันตรายทั้งภายในภายนอกประเทศ ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้
         
      พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 หรือวันปิยมหาราชในปัจจุบันนี้ รวมพระชนมายุได้ 58 พรรษา ทรงครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี

วันปิยมหาราช

พระราชกรณียกิจที่สำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือสมเด็จพระปิยมหาราช อาทิเช่น

1. การเลิกทาส
     เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า มีทาสในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก และลูกทาสในเรือนเบี้ยจะสืบต่อการเป็นทาสไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต พระองค์จึงทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่า จะต้องเลิกทาสให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะทาสมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้ เมื่อไม่มีทาส บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจและก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว
วันปิยมหาราช ความสำคัญต่างๆ
 พระราชกรณียกิจที่สำคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ หรือสมเด็จพระปิยมหาราชจึงตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ มีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี และพอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง จากนั้นใน พ.ศ.2448 จึงได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า "พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124" (พ.ศ.2448) เลิกลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป และการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด
         
     ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ในเวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยไม่เกิดการนองเลือดเหมือนกับประเทศอื่นๆ
 2. การปฏิรูประบบราชการ
      ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ แยกหน่วยราชการออกเป็นกรมกองต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบเฉพาะไม่ก้าวก่ายกัน จากเดิมมี 6 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงลาโหม, กระทรวงนครบาล, กระทรวงวัง, กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตราธิการ ได้เพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงธรรมการ มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์ และการศึกษา, กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับคดีความที่ต้องตัดสินต่างๆ , กระทรวงโยธาธิการ มีหน้าที่ดูแลตรวจตราการก่อสร้าง การทำถนน ขุดลอกคูคลอง งานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง และกระทรวงการต่างประเทศ มีหน้าที่ดูแลงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ
3.การสาธารณูปโภค
     การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452
          
      การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย
         
      นอกจากนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพาน และถนนอีกมากมาย คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น และโปรดให้ขุดคลองต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก
          
     การสาธารณสุขเนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที สมเด็จพระปิยมหาราชจึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431
          
     การไฟฟ้า สมเด็จพระปิยมหาราชพระองค์ทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433
          
     การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ.2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2412 โดยโทรเลขสายแรกคือ ระหว่างจังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) กับจังหวัดสมุทรปราการ
เสด็จประพาสต้น 
 ภาพที่เกี่ยวข้องกับวันปิยมหาราชการเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่ง
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
4. การเสด็จประพาส
      สมเด็จพระปิยมหาราชทรงเสด็จประพาส การเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหลังจากเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ. 2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย อีกทั้งยังได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญขึ้น
         
     ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาตลอดระยะทางถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ "พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน" ให้ความรู้อย่างมากมายเกี่ยวแก่สถานที่ต่างๆ ที่เสด็จไป
         
     ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่างๆ เป็นการตรวจตราสารทุกข์สุขดิบของราษฎรได้เป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ โดยเสด็จฯ ทางเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ เพื่อแวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า "ประพาสต้น" ซึ่งได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2447 และในปี พ.ศ.2449 อีกครั้งหนึ่ง
5. การศึกษา
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงโปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง คือ "โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ" ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก คือ "โรงเรียนวัดมหรรณพาราม" และในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2435 (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา
6. การปกป้องประเทศจากการสงครามและเสียดินแดน
         
     เนื่องจากลัทธิจักรวรรดินิยมได้แผ่อิทธิพลเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ปรีชาสามารถอย่างสุดพระกำลังที่จะรักษาประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติการณ์ ถึงแม้ว่าจะต้องสูญเสียดินแดนบางส่วนไปก็ตาม โดยดินแดนที่ต้องเสียให้กับต่างชาติ ได้แก่ 
           พ.ศ.2431 เสียดินแดนในแคว้นสิบสองจุไทย
           พ.ศ.2436 เสียดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีไว้
           พ.ศ.2447 เสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองจันทบุรี แต่ฝรั่งเศสได้ยึดตราดไว้แทน
           พ.ศ.2449 เสียดินแดนที่เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับตราด และเกาะทั้งหลาย แต่การเสียดินแดนครั้งสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใดๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส ไม่ต้องไปขึ้นศาลกงสุลเหมือนแต่ก่อน
         
     ส่วนทางด้านอังกฤษ ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ.2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทย และยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษ เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ

วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม

กิจกรรมในวันปิยมหาราช

กิจกรรมในวันปิยมหาราช 
 การวางพวงมาลาดอกไม้สักการะในวันปิยมหาราช
     ในวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม ของทุกปี หน่วยงานต่างๆ ทั้งราชการและภาคเอกชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา รวมทั้งประชาชนจะมาวางพวงมาลาดอกไม้สักการะ และถวายบังคมที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทำบุญตักบาตอุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ในวันปิยมหาราช หน่วยงานและโรงเรียน มหาวิทยาลัย จะจัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นการประกาศเกียรติคุณให้ไพศาลสืบไปและที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือประวัติและความสำคัญของวันปิยมหาราช 23 ตุลาคมของทุกปี


          ขอบคุณที่มา