วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างระหว่างไมโครสโคปและกล้องโทรทรรศน์ / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

Telescopes and microscopes take people beyond the limitations of their senses.ความแตกต่างระหว่างไมโครสโคปและกล้องโทรทรรศน์

ทำงานกล้องจุลทรรศน์และกล้องโทรทรรศน์ในทำนองเดียวกันโดยให้คนดูวัตถุไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นอกเหนือจากนี้ทั้งใช้เครื่องมือและแว่นตานูนเว้าเพื่อขยายวัตถุที่น่าสนใจ แม้ว่าอุปกรณ์ทั้งสองใช้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่คล้ายกันพวกเขามีความแตกต่างกันหลาย
  1. อ้างอิงความแตกต่างพื้นฐาน

    • แม้ว่าตราสารทั้งขยายวัตถุเพื่อให้ตาของมนุษย์สามารถมองเห็นพวกเขากล้องจุลทรรศน์ดูที่สิ่งที่ใกล้มากในขณะที่กล้องโทรทรรศน์ดูสิ่งที่อยู่ห่างไกลมาก กล้องจุลทรรศน์จะพบในห้องปฏิบัติการมักจะใช้โดยนักชีววิทยาและนักเคมีในขณะที่กล้องโทรทรรศน์ที่พบในหอดูดาวส่วนใหญ่มักจะใช้โดยนักดาราศาสตร์

    ความยาวโฟกัส

    • แม้ว่าทั้งเครื่องมือใช้เลนส์ขยายวัตถุก่อสร้างที่แตกต่างจากที่อื่น ๆ หนึ่งในความแตกต่างนั้นคือความยาวโฟกัส Amazing-space.stsci.edu กำหนดความยาวโฟกัสเป็น "ระยะห่างระหว่างศูนย์กลางของเลนส์นูนหรือกระจกเว้าและจุดโฟกัสของเลนส์หรือกระจก --- จุดที่รังสีขนานพบแสงหรือบรรจบกัน."กล้องโทรทรรศน์มีวัตถุประสงค์ผลิตเลนส์ความยาวโฟกัสยาวในขณะที่เลนส์กล้องจุลทรรศน์มีวัตถุประสงค์ผลิตความยาวโฟกัสสั้น
      ตั้งแต่กล้องโทรทรรศน์ดูวัตถุที่มีขนาดใหญ่ - วัตถุที่ห่างไกลดาวเคราะห์หรือหน่วยงานทางดาราศาสตร์อื่น ๆ - เลนส์ใกล้วัตถุที่ผลิตรุ่นเล็กของภาพที่เกิดขึ้นจริง ในทางตรงกันข้ามกล้องจุลทรรศน์ดูวัตถุขนาดเล็กมากและเลนส์ใกล้วัตถุที่ผลิตรุ่นใหญ่ของภาพที่เกิดขึ้นจริง ความยาวโฟกัสของเครื่องมือทั้งสองให้เป็นไปได้

    เส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์

    • อีกความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกล้องโทรทรรศน์และกล้องจุลทรรศน์คือเส้นผ่าศูนย์กลางของเลนส์เลนส์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดใหญ่สามารถดูดซับจำนวนมากของแสงที่ส่องสว่างของวัตถุที่จะถูกมองว่า ตั้งแต่วัตถุดูได้ในกล้องโทรทรรศน์อยู่ห่างไกลมีวิธีสำหรับผู้ใช้เพื่อเพิ่มความสว่างของวัตถุไม่มีจึงต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ขนาดใหญ่ กล้องจุลทรรศน์ส่วนใหญ่มาพร้อมกับมาตรฐานแหล่งกำเนิดแสงเทียมวัตถุส่องสว่าง นี้จะช่วยลดความจำเป็นในการใช้เลนส์ขนาดใหญ่

    มาตรฐานการปรับเปลี่ยน

    • ในกล้องโทรทรรศน์คุณสามารถเปลี่ยนช่องมองภาพการปรับเปลี่ยนขยายภาพเช่นเดียวกับรูปแบบ;เลนส์ใกล้วัตถุยังคงคงที่ อีกวิธีหนึ่งคือกล้องจุลทรรศน์มีการแก้ไข eyepieces และชุด 3-4 เลนส์วัตถุประสงค์แทนกันที่คุณสามารถตั้งค่าที่แตกต่างกัน, การเปลี่ยนแปลงขยายและคุณภาพของวัตถุ



วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อาการคอตกหมอน / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)


นอนตกหมอนบ่อยๆจริงๆแล้วมีวิธีการแก้ไข ป้องกันและดูแลรักษาไม่ยากนะคะ




อาการคอตกหมอน คือการที่มีอาการปวดคอหลังตื่นนอน มักจะเป็นข้างเดียวคือข้างที่คอพับนอนทับ อาการมีตั้งแต่แค่ขัดๆเมื่อยๆคอ จนถึงปวดแสนสาหัส คอแข็งทื่อขยับคอไม่ได้เลย ล้างหน้าแปรงฟัน โกนหนวดเงยคอ เหมือนมีดแทงลงไปถึงสะบักปวดสุดๆ

การรักษา
1. ถ้าอาการน้อยหรือปานกลาง มักจะหายได้เองใน 1-3 วัน ให้เน้นการรักษาอาการดังนี้

1.1 จำกัดการใช้งานก้านคอเท่าที่จำเป็น มีปวดตึงบ้างได้

1.2 ประคบร้อน เช่นกระเป๋าน้ำร้อน หรืออาบน้ำอุ่นจากฝักบัว

1.3 นวดเบาๆ ที่นิยมคือนวดกดจุด ตามตำแหน่งกล้ามเนื้อก้านคอ บ่าและสะบักด้านที่มีอาการ โชคดีเป็นตำแหน่งที่ทำเองได้ง่ายจัง จะทายาด้วยก็ไม่ห้าม

2. ถ้าอาการมาก ขยับคอไม่ได้เลย ควรพบแพทย์ ซึ่งมักจะพิจารณาให้ทานยาแก้ปวดหรือยาต้านการอักเสบของกระดูกและกล้ามเนื้อสัก 2-3 วัน เมื่ออาการทุเลาก็หยุดยาแล้วปฏิบัติเช่นกรณีที่ปวดปานกลางและเล็กน้อยต่อยอด

Health Tips ใครปวดคอ ตกหมอนบ่อยๆ ฟังทางนี้
1.ปรับพฤติกรรม ถ้าเป็นบ่อย สาเหตุมักจะเป็นเรื่องเดิมๆ คือความเคยชินหรือพฤติกรรมการนอนที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ท่านอนที่เหมาะสมศีรษะและก้านคอควรอยู่ในแนวตรงทั้งท่านอนหงายหรือตะแคง หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงทับข้างที่มีอาการเป็นประจำ อีกทั้งไม่ควรนอนคว่ำอ่านหนังสือ หรือนอนดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน

2.หมอนและที่นอนเป็นตัวช่วย เรื่องนี้ง่ายจะตาย ไม่จำเป็นต้องราคาแพง หมอนควรเลือกให้เหมาะทั้งขนาดและความแข็ง ทดลองก่อนก็ดี โดยดูจากเวลานอนระดับคางไม่เงยหรือก้มมากไป ขนาดใหญ่พอที่จะหนุนมาถึงหัวไหลเล็กน้อยกันคอตกหมอน่ หลีกเลี่ยงหมอนที่นุ่มมาก เลือกระดับแข็งปานกลาง ที่นอนก็เช่นกัน เพราะถ้านุ่มมากพลิกตัวแต่ละทีกระดูกสันหลังทั้งคอและเอวจะกระเพื่อม

3.เดินทางไกล ปลอดภัยไว้ก่อน ถ้าจะต้องนั่งหลับ ควรใส่ปลอกคอหรือหมอนลมประคองก้านคอ เนื่องจากเวลาหลับกล้ามเนื้อจะคลายตัวไม่สามารถปกป้องพยุงต้นคอได้เต็มที่ อีกทั้งการเดินทางบางครั้งยังมีการกระแทก กระชาก สั่น หรือเหวี่ยง

4.บริหารกล้ามเนื้อคอสม่ำเสมอ เพื่อคงไว้ซึ่งความยืดหยุ่นโดยหมุนคอเบาๆ และเพิ่มความแข็งแรงด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อคอทีละด้านต้านแรงดันจากฝ่ามือของเรา

ขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลสินแพทย์
ภาพจาก : thrivehealth.ca

ข้อมูลจาก:Maeban Club

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วิธีการคำนวณสาขาดูในกล้องจุลทรรศน์ / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)



วิธีการคำนวณสาขาดูในกล้องจุลทรรศน์




A light microscope allows the examination of tiny objects.

กล้องจุลทรรศน์แสงสามารถขยายวัตถุได้ถึง 1,000 ครั้ง วัตถุเหล่านี้อาจจะมากขนาดเล็กเกินไปที่จะวัดด้วยไม้บรรทัดซึ่งจะทำให้ทราบขนาดของมุมมอง - ขนาดของพื้นที่ที่มองเห็นผ่านกล้องจุลทรรศน์คุณ - ชิ้นส่วนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การคำนวณมุมมองในแสงกล้องจุลทรรศน์ช่วยให้คุณสามารถกำหนดขนาดโดยประมาณของชิ้นงานที่มีการตรวจสอบ

คำแนะนำ

    • 1





      ตั้งกล้องจุลทรรศน์ของคุณเพื่อขยายต่ำสุดและบันทึกการขยายอำนาจ ตำแหน่งขนาดภาพนิ่งของคุณ - สไลด์กล้องจุลทรรศน์ที่มีเครื่องหมายการวัด - หรือผู้ปกครองที่ชัดเจนของคุณภายใต้กล้องจุลทรรศน์ของคุณ นำผู้ปกครองหรือขนาดเป็นสำคัญ
    • 2





      เลื่อนระดับที่มากกว่าเพื่อให้บาร์ขนาดหรือเส้นไม้บรรทัดเป็นที่ขอบด้านซ้ายสุดของสนามในมุมมองของ ประเมินจำนวนของบาร์ขนาดและพื้นที่ที่ไปทั่วสนามในมุมมองของคุณ ประมาณการส่วนของบาร์ขนาดที่เหลืออยู่ที่ขวาสุดถ้าจำเป็น ขณะนี้คุณควรมีการวัดเช่น 1.5 มิลลิเมตร
    • 3





      การคำนวณขนาดของมุมมองอำนาจที่สูงขึ้นของการขยายสำหรับกล้องจุลทรรศน์ของคุณโดยใช้สมการต่อไปนี้: ขยายพลังงานต่ำโดยแบ่งเวลาการขยายกำลังสูงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสนามพลังงานที่ต่ำในหน่วยมิลลิเมตร

    • ขอบคุณแหล่งที่มา : 
    • http://www.ehow.com/how_7603588_calculate-field-microscope.html

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความแตกต่างระหว่าง Compound & ผ่ากล้องจุลทรรศน์/ ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)


ความแตกต่างระหว่าง Compound & ผ่ากล้องจุลทรรศน์


ตัดแสงและกล้องจุลทรรศน์สารประกอบที่มีทั้งแสงกล้องจุลทรรศน์ที่ใช้แสงที่มองเห็นในการสร้างภาพ ทั้งสองประเภทของกล้องจุลทรรศน์ขยายวัตถุโดยเน้นแสงผ่านปริซึมและเลนส์กำกับไปทางตัวอย่าง แต่ความแตกต่างระหว่างกล้องจุลทรรศน์เหล่านี้มีความสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือการตัดเป็นกล้องจุลทรรศน์สำหรับการดูลักษณะพื้นผิวของชิ้นงานในขณะที่กล้องจุลทรรศน์สารประกอบได้รับการออกแบบที่จะมองผ่านชิ้นงาน










Close-up of a lab worker looking through a compound microscope
(elifakbay / iStock / Getty)
วิธีการทำงานกล้องจุลทรรศน์
ทั้งผ่าตัดและกล้องจุลทรรศน์แสงสารประกอบการทำงานโดยการจับและการเปลี่ยนเส้นทางแสงสะท้อนและหักเหจากตัวอย่าง กล้องจุลทรรศน์ Compound ยังจับแสงที่ถูกส่งผ่านชิ้นงาน แสงจะถูกจับโดยเลนส์สองตัวอย่างข้างต้นนูน; เหล่านี้เรียกว่าเลนส์วัตถุประสงค์ กล้องจุลทรรศน์ Compound มีเลนส์วัตถุประสงค์หลายจุดแข็งที่แตกต่างกันขยายจาก 40 1,000 ครั้ง จุดที่แสงจะเปลี่ยนเส้นทางไป - หรือแปรสภาพ - เรียกว่าจุดโฟกัส ภาพที่จุดโฟกัสจะปรากฏขยายไปสังเกตการณ์ ระยะห่างระหว่างจุดโฟกัสและเลนส์แรกที่เรียกว่าระยะการทำงาน กล้องจุลทรรศน์ที่มีระยะการทำงานที่มีขนาดเล็กมีอำนาจขยายมากขึ้นกว่าผู้ที่มีหนึ่งอีกต่อไป










เด็กสองคนใช้กล้องจุลทรรศน์ผ่าอยู่ในโรงเรียน
Thinkstock รูปภาพ / Stockbyte / Getty
ตัดกล้องจุลทรรศน์
กล้องจุลทรรศน์เป็นที่รู้จักกันเป็นสเตอริโอ เพราะมันมีการทำงานระยะยาวระหว่าง 25 และ 150 มิลลิเมตรก็มีความสามารถในการขยายต่ำ นี้จะช่วยให้ผู้ใช้เลือกที่จะจัดการกับชิ้นงานแม้การแสดงเบามือขนาดเล็กภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ตัวอย่างสดยังสามารถสังเกตได้ มิตินักเรียนทั่วไปสามารถขยายสองถึง 70 ครั้งผ่านทางหนึ่งของเลนส์ใกล้วัตถุ ด้วยมิติแสงจะถูกนำชิ้นงานที่มาจากข้างบน, การสร้างภาพสามมิติ










Close-up ของกล้องจุลทรรศน์ผ่าหลายในห้องปฏิบัติการ
โรมัน Krochuk / iStock / Getty
กล้องจุลทรรศน์ Compound
กล้องจุลทรรศน์แสงผสมมักใช้ในการดูรายการที่มีขนาดเล็กเกินไปที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกเขามีหลายจุดแข็งของเลนส์วัตถุประสงค์และพึ่งพาแสงท​​ี่ส่องแสงออกมาจากใต้ตัวอย่าง ซึ่งกำหนดให้เป็นชิ้นบางมากและอย่างน้อยบางส่วนโปร่งแสง ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นสีตัดและวางไว้บนสไลด์แก้วสำหรับการดู กล้องจุลทรรศน์สามารถขยายได้ถึง 1,000 ครั้งและให้ความสามารถในการมองเห็นรายละเอียดมากขึ้น ระยะการทำงานแตกต่างกันไป 0.14-4 มิลลิเมตร










สองคนงานห้องปฏิบัติการมองผ่านกล้องจุลทรรศน์สารประกอบ
คี ธ Brofsky / Photodisc / Getty
ความแตกต่างในการประยุกต์ใช้
กล้องจุลทรรศน์จะใช้ในการสังเกตชิ้นบางเฉียบของวัตถุที่มีขนาดใหญ่ ตัวอย่างอาจจะมีต้นกำเนิดของพืชหรือตัดขวางของเส้นเลือดมนุษย์ ในทั้งสองกรณีตัวอย่างที่ไม่ได้อยู่ ชิ้นวางอยู่บนภาพนิ่งและย้อมด้วยสีเพื่อเน้นคุณสมบัติ มิติที่สามารถใช้สำหรับรายการที่แสงไม่สามารถส่องผ่าน สีที่เกิดขึ้นจริงของชิ้นงานจะสังเกตและชิ้นงานที่สามารถจัดการโดยผู้สังเกตการณ์ในขณะที่ถูกมองว่า ความสับสนของปีกผีเสื้อรายละเอียดของกรงเล็บแมงป่องและสานในผ้าเป็นตัวอย่างของรายการที่อาจจะดู Stereoscopes นอกจากนี้ยังอาจถูกนำมาใช้ในการสังเกตสิ่งมีชีวิตบางอย่างเช่นผู้ที่อยู่ในน้ำในบ่อเลี้ยง










Close-up ของกล้องจุลทรรศน์
Thinkstock รูปภาพ / Stockbyte / Getty











อ้างอิง



วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วันพืชมงคล 2558 พิธีแรกนาขวัญ / Admin SD (Tonan Asia Autotech)


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รัฐบาลไทย

          วันพืชมงคล 2558 พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ตรงกับวันที่ 13 พฤษภาคม พระราชพิธีพืชมงคล มีอะไรบ้าง ประวัติวันพืชมงคลมีความเป็นมาอย่างไร พิธีแรกนาขวัญ คืออะไรเรามีข้อมูลมาฝาก

          หากเอ่ยชื่อ วันพืชมงคล ภาษาอังกฤษ Royal Ploughing Ceremony แล้วเชื่อว่าหลายคนคงยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว เพราะจะได้หยุดเรียน หยุดงาน พักผ่อนอยู่ที่บ้าน เนื่องจากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ แต่จะมีสักกี่คนรู้รายละเอียด รู้ความหมาย หรือรู้ความเป็นมาเป็นไปของ "วันพืชมงคล"อย่างแท้จริง เอาเป็นว่าเราไปเจาะลึกประวัติและความเป็นมาของ "วันพืชมงคล" กันดีกว่า...

          วันพืชมงคล หมายถึง วันที่กำหนดพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีเก่ามาแต่โบราณที่เสริมสร้างขวัญและกำลังใจแก่เกษตรกรของชาติ เพื่อเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งพระราชพิธีนี้จะกระทำที่ท้องสนามหลวง ประกอบด้วย 2 พระราชพิธีคือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

          พิธีพืชมงคล เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถั่ว งา เผือก มัน เป็นต้น ฯลฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น ปราศจากโรคภัย และให้อุดมสมบูรณ์เจริญงอกงามดี

          พิธีแรกนาขวัญ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว




ประวัติวันพืชมงคล 

         พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า พิธีแรกนา เป็นพระราชพิธีที่มีมาแต่โบราณตั้งแต่ครั้งสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ไม่ได้ลงมือไถนาเอง เป็นแต่เพียงเสด็จไปเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีเท่านั้น ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ไม่ได้เสด็จไปเป็นองค์ประธาน แต่จะมอบอาญาสิทธิ์ให้โดยทรงทำเหมือนอย่างออกอำนาจจากกษัตริย์ และจะทรงจำศีลเงียบ 3 วัน ซึ่งวิธีนี้ได้ใช้ตลอดมาถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา

          ต่อมา สมัยรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ 1 ได้โปรดให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญแทนพระองค์ และมิได้ถือว่าเป็นพิธีหน้าพระที่นั่ง เว้นแต่เมื่อมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตร สถานที่ประกอบพิธีในตอนแรก ๆ จึงไม่ตายตัว แล้วแต่จะทรงกำหนดให้ ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดมีพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธีต่าง ๆ ทุกพิธี ดังนั้น "พระราชพิธีพืชมงคล"จึงได้เริ่มมีขึ้นแต่บัดนั้นมา โดยได้จัดรวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และมีชื่อเรียกรวมกันว่า "พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ"

          ส่วนพิธีกรรมนอกเหนือจากการทำให้เป็นตัวอย่าง ตามที่ทรงจำแนกไว้ 3 อย่าง 2 อย่างแรก ที่ว่า "อาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคลตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง" นั้น ทรงหมายถึง "พิธีพืชมงคล" อันเป็นพิธีสงฆ์ที่กระทำ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ว่า "บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง" นั้น ทรงหมายถึงพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญอันเป็นพิธีพราหมณ์

          ดังนั้น จึงพอจะสรุปความมุ่งหมายอันเป็นมูลเหตุให้เกิดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นี้ได้ว่าพิธีแรกนามุ่งหมายที่จะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร เพื่อชักนำให้มีความมั่นใจในการทำนา อันเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของคนไทยที่มีมาแต่ช้านานสืบมาจนปัจจุบันยังคงเป็นอยู่อย่างนั้น เพราะการเกษตรซึ่งมีการทำนาเป็นหลักนั้น เป็นสิ่งสำคัญแก่ชีวิตความเป็นอยู่และการเศรษฐกิจของประเทศทุกสมัย

          ส่วนวันประกอบพิธีนั้น ต้องเป็นวันที่ดีที่สุดของแต่ละปี ประกอบด้วย ขึ้น แรม ฤกษ์ยาม ให้ได้วันอันเป็นอุดมฤกษ์ตามตำราโหราศาสตร์ แต่ต้องอยู่ในระหว่างเดือน 6 เพราะเดือนนี้เริ่มจะเข้าฤดูฝน เป็นระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา จะได้เตรียมทำนา เมื่อโหรหลวงคำนวณได้วันอุดมมงคลพระฤกษ์ ที่จะประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแล้ว สำนักพระราชวังจะได้ลงไว้ในปฏิทินหลวง ที่พระราชทานในวันขึ้นปีใหม่ทุกปี และได้กำหนดไว้ว่าวันใดเป็นวันพืชมงคล วันใดเป็นวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

          พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญแต่เดิมมาทำที่ทุ่งนาพญาไท เมื่อได้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญขึ้นใหม่ จึงจัดให้มีขึ้นที่ท้องสนามหลวง ทั้งนี้ วันแรกนาขวัญเป็นวันสำคัญของชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติให้หยุดราชการ 1 วัน และมีประกาศให้ชักธงชาติตามระเบียบทางราชการ

  การประกอบพระราชพิธีวันพืชมงคล

          พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งข้าวที่นำเข้าพิธีพืชมงคลนั้นเป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้มีเมล็ดพืชต่าง ๆ รวม 40 อย่าง แต่ละอย่างบรรจุถุงผ้าขาว นอกจากนี้ยังมีข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนา บรรจุกระเช้าทองคู่หนึ่งและเงินคู่หนึ่ง เป็นข้าวพันธุ์ดีที่โปรดฯ ให้ปลูกในสวนจิตรลดา และพระราชทานมาเข้าพิธีพืชมงคล

          โดยพันธุ์ข้าวพระราชทานนี้จะใช้หว่านในพระราชพิธีแรกนาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่เหลือทางการจะบรรจุซอง แล้วส่งไปแจกจ่ายแก่ชาวนาและประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ให้เป็นมิ่งขวัญและเป็นสิริมงคลแก่พืชผลที่จะเพาะปลูกในปีนี้

          ทั้งนี้ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในปัจจุบันนี้ได้ดำเนินตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี เว้นแต่บางอย่างได้มีการดัดแปลงให้เหมาะแก่กาลสมัย อาทิ พิธีของพราหมณ์ก็มีการตัดทอนให้เหลือน้อยลง พระยาแรกนาก็ให้ตกเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่วนเทพีนั้นคัดเลือกจากข้าราชการสตรีโสดในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระดับ 3 - 4 คือขั้นโทขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพระราชพิธีทุกปี มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทูตานุทูต และประชาชนได้มาชมการแรกนาเป็นจำนวนมาก

          สำหรับการประกอบพิธีนั้นก็จะถูกกำหนดขึ้นโดยโหรหลวง ในระหว่างพิธีอันสวยงามนี้ ก็จะมีการทำนาย ปริมาณน้ำฝน ในช่วงฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง และแล้วพระยาแรกนาก็จะทำการเลือกผ้า 3 ผืน ที่มีความยาวต่างขนาดกัน ตามชอบใจ ผ้าทั้ง 3 ผืน นี้จะดูคล้ายกัน ถ้าพระยาแรกนาเลือกผืนที่ยาวที่สุดก็ทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมีน้อย ถ้าเลือกผืนที่สั้นที่สุดทายว่า ปีนี้ปริมาณน้ำฝนจะมาก และถ้าเลือกผืนที่มีความยาวปานกลาง ทายว่ามีปริมาณน้ำฝนพอประมาณ

          หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียกว่า "ผ้านุ่ง" เรียบร้อยแล้ว พระยาแรกนาก็จะไถลงไปบนพื้นที่ท้องสนามหลวงด้วยพระนังคัลสีแดงและสีทอง ซึ่งลากโดยพระโคผู้สีขาว ตามขบวนด้วยเทพีทั้ง 4 ผู้ซึ่งหาบกระเช้าทองและกระเช้าเงินที่บรรจุด้วยเมล็ดข้าวเปลือก นอกจากนี้ก็มีคณะพราหมณ์เดินคู่ไปกับขบวนพร้อมทั้งสวดและเป่าสังข์ไปพร้อมกัน

          เมื่อเสร็จจากการไถแล้วพระโคก็จะได้รับการป้อนพระกระยาหารและเครื่องดื่ม 7 ชนิด คือ เมล็ดข้าว ถั่ว ข้าวโพด หญ้าเมล็ดงา น้ำ และเหล้า ไม่ว่าพระโคจะเลือกกินหรือดื่มสิ่งใด ก็ทายว่าปีนี้จะอุดมสมบูรณ์ด้วยสิ่งที่พระโคเลือกนั้น

          เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ประชาชนจะพากันแย่งเก็บเมล็ดข้าวที่หว่านโดยพระยาแรกนา เพราะว่าเมล็ดข้าวนี้ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อันจะนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่มีไว้ในครอบครอง ชาวนาก็จะใช้เมล็ดข้าวนี้ผสมกับเมล็ดข้าวของตน เพื่อให้พืชผลในปีที่จะมาถึงนี้อุดมสมบูรณ์

          สำหรับพระโคที่จะเข้าพระราชพิธีแรกนาขวัญ จะถูกเลี้ยงดูอย่างดีในทุ่งหญ้าที่จังหวัดราชบุรี พระโคที่ใช้ในพระราชพิธี จะต้องมีลักษณะที่ดีขาดเกินไม่ได้คือ หูดี ตาดี แข็งแรง เขาทั้งสองตั้งตรงสวยงาม พระโคแต่ละคู่ต้องสีเหมือนกัน ซึ่งจะมีการคัดเลือกพระโคเพียงสองสีเท่านั้น คือ สีขาวสำลีและสีน้ำตาลแดง และเจาะจงแต่เพศผู้เท่านั้นและต้องผ่านการ "ตอน" เสียก่อนด้วย  

          อนึ่ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาลงมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นวันเกษตรกรประจำปีอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรพึงระลึกถึงความสำคัญของการเกษตร และร่วมมือกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพของตน

  กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันพืชมงคล

          1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ

          2. จัดนิทรรศการ แสดงประวัติความเป็นมา และความสำคัญของวันพืชมงคลรวมทั้งพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

  พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2558  

           สำหรับพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระ นังคัลแรกนาขวัญ 2558 นี้ ได้มีการเปิดเผยรายชื่อของผู้ทำหน้าที่เป็นพระยาแรกนา พระโคแรกนา รวมถึงเทพีคู่หาบเงิน และเทพีคู่หาบทองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีรายละเอียด ดังนี้
 ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนา 2558 คือ

          - นายชวลิต  ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 เทพีคู่หาบทอง 2558 ได้แก่

          - นางสาวฑิฆัมพร สุทธิฤทธิ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมการข้าว

        - นางสาวจารุรัตน์ พุ่มประเสริฐ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ กรมวิชาการเกษตร

 เทพีคู่หาบเงิน 2558 ได้แก่

          - นางสาวอมรรัตน์ แขวงโสภา นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

          - ว่าที่ร้อยตรีหญิงณฐมน อยู่เล่ห์ นักวิชาการคอมพิวเตอร์ชำนาญการ กรมชลประทาน

 พระโคแรกนา และพระโคเสี่ยงทาย 2558 ได้แก่

          - พระโคฟ้า และพระโคเลิศ

 พระโคสำรอง ได้แก่

         - พระโคเพิ่ม และพระโคพูน

 พันธุ์ข้าวพระราชทานและพันธุ์พืชที่นำมาใช้ในงานพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

          สำหรับพันธุ์ข้าวพระราชทานที่เตรียมไว้ในพระราชพิธีมีทั้งสิ้น 11 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวนาสวน จำนวน 8 สายพันธุ์ และข้าวไร่ จำนวน 3 สายพันธุ์

         นอกจากนี้ ได้เตรียมพันธุ์ข้าว จำนวน 2,520 กิโลกรัม แจกจ่ายให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศที่เดินทางเข้าร่วมงาน เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันพระราชพิธีพืชมงคลด้วย

          ทั้งนี้ในการเสี่ยงทายปรากฏว่า พระยาแรกนาหยิบผ้านุ่งได้ 4 คืบ พยากรณ์ว่าน้ำจะมาก นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้างได้ผลไม่เต็มที่

           ขณะที่พระโคเสี่ยงทาย กินหญ้า กินน้ำ กินงา พยากรณ์ว่าน้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหาร ผลาหาร มังสาหาร ภักษาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี

ขอขอบคุณแหล่งที่มาhttp://hilight.kapook.com/view/23040

มัฟฟินไข่ มื้ออาหารเช้าเพิ่มกำลัง/ ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

มัฟฟินไข่ มื้ออาหารเช้าเพิ่มกำลัง



มัฟฟินไข่ มื้ออาหารเช้าเพิ่มกำลัง
เมนูไข่ ถือว่าเป็นเมนูที่เหมาะมากสำหรับมื้อเช้า เพราะการทานไข่ในมื้อเช้าสามารถช่วยควบคุมความหิวได้ดี แถมได้โปรตีนสูง เมนูมัฟฟินเป็นเมนูดัดแปลงจากไข่ทอด ไข่เจียวเมนูเดิมๆ ที่ช่วยลดการใช้น้ำมันในการปรุงได้อีกด้วย

ส่วนผสมและเครื่องปรุงของมัฟฟินไข่

สูตรนี้ทำได้ 6 ถ้วย คัฟเค้ก
  • ไข่ขาว 150 ml ให้พลังงานประมาณ 78 kcal
  • ไข่ไก่ทั้งใบ 1 ใบ ให้พลังงานประมาณ 78 kcal
  • เนื้อกุ้งสับหยาบ 50 กรัม ให้พลังงานประมาณ 52.5 kcal
  • เนื้อไก่สับ 50 กรัม ให้พลังงานประมาณ 74.5 kcal
  • หอมใหญ่สับ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานประมาณ 4 kcal
  • มะเขือเทศหั่นเต๋า 20 กรัม ให้พลังงานประมาณ 4 kcal
  • ซี้อิ้วขาวตามชอบ
  • พริกไทยเล็กน้อย
  • เตาอบ
  • ถ้วยทนความร้อนสำหรับอบ (กรณีใช้ถ้วยอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เนยก็ได้ ถ้าใช้ถาดมัฟฟินให้ทาเนย หรือ สเปร์น้ำมันมะกอกลงไปนะคะ)

วิธีการทำ

อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 175 องศาC นำส่วนผสมของไข่และซีอิ้วขาวและพริกไทยลงตีก่อนจากนั้นใส่ส่วนของเนื้อสัตว์และผัก คนตะล่อมรวมกัน คนเบาๆเพื่อไม่ให้เกิดฟอง ถ้าต้องการทำให้เป็นแบบ Soufflé ให้ตีไข่อย่างเดียวด้วยเครื่องหรือตะกร้อมือให้ขึ้นฟูก่อน (คราวหน้าจะนำมาเสนอสูตรอีกครั้งค่ะ) เมื่อส่วนผสมเข้ากัน ให้เทลงถ้วยหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้โดยให้น้อยกว่าขอบถ้วยประมาณ 1/3 ถ้วย (ใส่มากไปอาจทำให้ล้นเวลาอบได้) นำเข้าอบประมาณ 20 นาที สำหรับเตาเล็กๆ ให้ใช้ไฟกลาง แล้วสังเกตุดูเอานะคะ เมื่อสุกดีเอาออกมาเสิร์ฟได้ ถ้าต้องการเช็คว่าสุกดีหรือยัง ให้ใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มดู ถ้าไม่เปียกหรือน้ำติดตามออกมาถือว่าสุกค่ะ ถ้าหากเตาอบด้านบนไฟแรงไปหน้าไข่อาจไหม้ได้วิธีป้องกันคือเมื่อหน้าเริ่มสวยได้ที่แต่ด้านในยังไม่สุกให้นำฟรอยด์มาปิดคลุมไว้แล้วอบต่อจนสุกค่ะ 

เวลาเสิร์ฟยามเช้าสามารถเสิร์ฟพร้อมขนมปังโฮลวีตปิ้งสักแผ่น หรือเสิร์ฟพร้อมสลัดผัก ก็อร่อยแถมได้ประโยชน์ครบถ้วน 

พลังงานต่อ มัฟฟิน 1 ถ้วยพร้อมขนมปังโฮลวีต 1 แผ่นเท่ากับ 117.5 kcal

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : เรียบเรียงโดย: lovefitt.com