วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี





เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๗๐ ปี
๙ มิถุนายน ๒๕๕๙
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พระพลานามัยแข็งแรง มีพระชนมพรรษายิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท โทนัน อาเชีย ออโต้เทค จำกัด

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"โปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ ภายในเดือน มิถุนายน 2559 นี้เท่านั้น"

"โปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ ภายในเดือน มิถุนายน 2559 นี้เท่านั้น"
สามารถสอบถามหรือขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ค่ะ พวกเราทุกคนยินดีบริการ 
Tel.0-2565-9370 
...Tonan Asia Autotech...








วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของแก้วมังกร



   ประโยชน์ของแก้วมังกร ผลไม้ที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันดี แต่สาว ๆ จะรู้ไหมว่า แก้วมังกรนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายขนาดไหน อยากรู้มาดูกันเลย

          แก้วมังกร ผลไม้ที่มีรูปร่างหน้าตาแปลก ๆ สีสันสวย ๆ หลายคนคงจะคุ้นเคยและเคยรับประทานกันมาบ้างแล้ว ซึ่งแก้วมังกรที่ว่านี้ก็จะมีลักษณะเนื้อสีขาว ๆ มีเม็ดสีดำ ๆ กระจายไปทั่ว ส่วนรสชาติก็จะออกหวานอ่อน ๆ รับประทานแล้วจะช่วยคลายร้อน ทั้งนี้นอกจากจะอร่อยและช่วยคลายร้อนได้ดีแล้ว สาว ๆ รู้ไหมคะว่าแก้วมังกรนั้นยังมีประโยชน์อีกมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ที่เกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม สุขภาพ หรือแม้แต่เป็นผู้ช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็ได้รวบรวมประโยชน์ของแก้วมังกรมาให้คุณสาว ๆ ได้ศึกษาข้อมูลกันแล้ว รับรองว่ารู้แล้วคุณจะต้องอยากรับประทานแก้วมังกรขึ้นมาทันทีเชียวล่ะ

ประโยชน์แก้วมังกร

 ช่วยคลายร้อน
          อากาศร้อน ๆ ในบ้านเราแบบนี้ ผลไม้ที่จะช่วยดับกระหายและช่วยคลายร้อนได้ดี ก็คือ "แก้วมังกร" นี่แหละค่ะ เพราะเมล็ดของแก้วมังกรนั้นอุดมไปด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัว ซึ่งจะสามารถต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ ส่งผลให้บรรเทาอาการร้อนในร่างกายได้ดี

 ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
          แก้วมังกรสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้กับคนที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ไม่ต้องใช้อินซูลินได้ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยบรรเทาโรคโลหิตจาง ช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย และช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ด้วย

 ช่วยลดน้ำหนัก
          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ แต่มีคุณค่าทางอาหารสูง เรียกได้ว่าเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการจะลดน้ำหนักเป็นอย่างมาก เพราะมีกากใยอาหารสูง กินแล้วจะอิ่มได้นาน และไม่ทำให้หิวบ่อย

 ช่วยแก้อาการท้องผูก
          อย่างที่บอกไปแล้วว่าแก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง ดังนั้นจึงสามารถช่วยกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานได้สะดวก ซึ่งจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี

 ช่วยให้ผิวพรรณสดใส
          ในแก้วมังกรมีแร่ธาตุมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินซี โปรตีน แคลเซียม คลอโรฟิลล์ และฟอสฟอรัส ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีความจำเป็นต่อผิว ซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูสดชื่นและเปล่งปลั่ง นอกจากนี้ยังจะช่วยชะลอริ้วรอยต่าง ๆ ได้อีกด้วย

 ต่อต้านโรคมะเร็ง
          แก้วมังกรสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะแก้วมังกรพันธุ์เนื้อแดง เพราะจะมีสารไลโคปีนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งนั่นเอง

 ช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย
          เมล็ดของแก้วมังกรสามารถช่วยดูดซับสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ อย่างเช่น สารตกค้างที่มาจากยาฆ่าแมลงที่ติดมากับผักที่เรารับประทาน สารตกค้างจากตะกั่วที่มาจากควันท่อไอเสียรถ และสารพิษอื่น ๆ เป็นต้น

          รู้ประโยชน์ดี ๆ แบบนี้กันแล้ว สาว ๆ คงเริ่มอยากที่จะรับประทานแก้วมังกรขึ้นมากันแล้วใช่ไหมล่ะคะ เอ้า ! ถ้าอย่างนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม รีบไปหาซื้อมาตุนไว้รับประทานกันเลยดีกว่า

#คลับสุขภาพความงาม

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วันวิสาขบูชา 20/05/2559

วิสาขบูชา วันอัศจรรย์ของชาวพุทธ

วันวิสาขบูชา มีความหมายว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 แต่ถ้าปีใดมีอธีกมาส คือ มีเดือน 8 สองหนก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7
ความสำคัญของวันวิสาขบูชา เป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คือ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน แม้แต่ละเหตุการณ์จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็เกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นับเป็นสิ่งอัศจรรย์และถือเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของวันประสูติ พระนางสิริมหามายาได้ประสูติพระโอรสใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพิณีวัน ซึ่งอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ในขณะที่นางเสด็จไปประทับ ณ กรุงเทวทหะเพื่อประสูติพระโอรสของนาง และเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ แต่ได้ประสูติพระโอรสเสียก่อน ในเช้าวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของวันตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา หลังจากออกผนวชได้ 6 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของวันปรินิพพาน หลังจากตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานในวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย

วันวิสาขบูชา มีหลักฐานปรากฏว่า ได้มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี และมีการสันนิษฐานว่า ถูกเผยแพร่มาจากศรีลังกา กล่าวไว้ว่า ประมาณ พ.ศ. 420 กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธี วิสาขบูชา อย่างมโหฬารเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และสืบเนื่องต่อๆมาจนถึงปัจจุบัน
สมัยสุโขทัยนั้น พระสงฆ์ชาวลังกาได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย จึงเชื่อได้ว่ามีการนำพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย
ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์สูงกว่าอำนาจของพุทธศาสนา จึงไม่มีหลักฐานปรากฏ ว่าได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีพระราชประสงค์ให้ฟื้นฟูการประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ
ดังนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และถือปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลภาพจาก www.xn--89-lqic6g3a6b4acd2bh0b1bzc4cl3rc3ao6n.com

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 พฤษภาคม 2559 ..วันฉัตรมงคล





5 พฤษภาคม..วันฉัตรมงคล ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน 

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ


ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหาร และพนักงาน 

บริษัท โทนัน อาเชีย ออโต้เทค จำกัด

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

`ฮีตสโตรก`ร้อนจัดถึงตายได้



`ฮีตสโตรก`ร้อนจัดถึงตายได้ !!

ในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ซึ่งอุณหภูมิเฉียด 40 องศาเซลเซียส เรื่องของสุขภาพที่ประมาทไม่ได้คือโรคลมแดดหรือที่เรียกว่า ฮึตสโตรก เพราะหากคนเราได้รับความร้อนที่มากเกินไปร่างกายปรับสภาพไม่ทันอาจส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมองได้

นายแพทย์จิโรจ สินธวานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในช่วงนี้ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา โดยเฉพาะโรคฮึตสโตรก (Heat Stroke) หรือโรคลมแดด ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงและได้รับความร้อนมากเกินไปทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายทำให้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง

สัญญาณเตือนที่สำคัญของโรคฮึตสโตรก คือไม่มีเหงื่อออกแม้จะอากาศร้อน หน้าแดง ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน เกร็งกล้ามเนื้อ ชัก มึนงง สับสน รูม่านตาขยาย ความรู้สึกตัวลดน้อยลง อาจหมดสติ หัวใจเต้นเร็วแต่แผ่วเบา ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและทันเวลาอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและถึงแก่ชีวิต ซึ่งแตกต่างจากอาการเพลียแดดทั่วๆ ไปที่จะมีเหงื่อออกด้วย สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงในการเกิดโรคฮึตสโตรก คือ ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ที่อดนอน ผู้ที่ดื่มเหล้าจัด ผู้ที่ทำงานในสภาพอากาศที่ร้อนชื้น และผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอ้วน รวมถึงนักกีฬาและทหารที่เข้ารับการฝึกโดยไม่มีการเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมที่จะเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด

สำหรับการปรับพฤติกรรมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคฮึดสโตรก คือ ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้าน ในวันที่มีอากาศร้อนจัดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน โปร่ง ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายอุณหภูมิความร้อนได้ดีและป้องกันแสงแดดได้ และหากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อนควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม และแม้จะทำงานที่ร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว

ก่อนออกจากบ้านควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในวันที่อากาศร้อนจัด โดยเฉพาะก่อนการออกกำลังกายหรืออยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาเสพติดทุกชนิด ในเด็กเล็กและคนชราควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โดยให้อยู่ในห้องที่มีอากาศระบายได้ดี และไม่ให้เด็กหรือคนชราอยู่ในรถที่ปิดสนิทตามลำพังในกรณีที่จะต้องไปทำงานท่ามกลางสภาพอากาศทีร้อนจัดควรเป็นบุคคลที่มีสุขภาพแข็งแรงโดยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพื่อให้ร่างกายเคยชินกับสภาพอากาศร้อนจัด

ทั้งนี้ หากพบเจอผู้เป็นโรคฮึตสโตรกสามารถช่วยเหลือเบื้องต้น โดยนำเข้าในที่ร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง ถ้ามีการอาเจียนให้นอนตะแคงก่อน เมื่ออาเจียนแล้วให้นอนหงาย คลายเสื้อผ้าที่รัดแน่นออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นๆหรือน้ำแข็งประคบตามซอกลำตัว คอ รักแร้ เชิงกราน ศีรษะ เพื่อระบายความร้อนร่วมกับการใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน ราดน้ำเย็นลงบนตัวเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลง ให้ดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทน แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

 ขอบคุณแหล่งข้อมูล ที่มา http://line.me/ti/p/%40eoz4120m

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

10 อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ




10 อาหารเช้าเพื่อสุขภาพที่เฮลท์ตี้ อย่างนี้ต้องมีไว้ติดบ้าน !


 มื้อเช้า อย่าคิดว่ารับประทานอะไรก็ได้เหมือน ๆ กัน ต้องคำนึงถึงคุณประโยชน์ของอาหารด้วยถึงจะดี แต่ถ้านึกไม่ออกลองมาหยิบอาหารเหล่านี้ไปรับประทานกัน บอกเลย กินแล้วสุขภาพดี๊ดี

          อาหารเช้า เป็นอาหารมื้อแรกของวันที่ถือว่ามีความจำเป็นต่อร่างกา ยและช่วยกำหนดปริมาณการรับประทานอาหารไปได้ทั้งวัน ถ้าหากไม่ยอมรับประทานหรือทานน้อยเกินไป ความหิวโหยจะทำให้เราทานมื้ออื่นมากกว่าปกติ สะสมพลังงานส่วนเกินไว้จนเกิดรอบเอวหนา ๆ ตามมาได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทานอะไรเข้าไปก็ได้ อย่างน้อยก็ต้องเลือกสิ่งที่จะช่วยเติมเต็มมื้อเช้าให้เราได้จริง ๆ อย่างที่ health.com หยิบเอาอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพมาฝากในวันนี้ ถ้าเคยสงสัยว่ามื้อเช้าจะกินอะไรให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายดีละก็ ที่จะได้รู้เลยล่ะค่ะ

 1. กล้วย
          ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ถือเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพแล้วละก็ จะไม่พูดถึงกล้วยก็คงไม่ได้ เพราะกล้วยมีประโยชน์ต่อร่างกาย แถมยังเหมาะเป็นอาหารเช้าอีกด้วย โดยเฉพาะกล้วยที่ยังมีเปลือกสีเขียวหลงเหลืออยู่ เพราะจะมีคาร์โบไฮเดรตช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมีโพแทสเซียมสูง รวมทั้งปริมาณเกลือแร่ที่ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตในอยู ่ในร่างกายที่ปกติ ยังไม่รวมถึงปริมาณน้ำตาลที่น้อย เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย หากได้รับประทานกับซีเรียล หรือข้าวโอ๊ตนี่ละเด็ดเลย

 2. ไข่
          แม้ใครจะคิดว่าไข่มีคอเลสเตอรอลจนไม่กล้าทาน แต่ไข่นี่ล่ะคือแหล่งโปรตีนและวิตามินดีที่สำคัญเลย เหมาะสำหรับการเป็นอาหารเช้ามากเลยเชียว แม้จะมีคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูงแต่ก็ยังอยู่ในปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน โดยคนเราสามารถบริโภคคอเลสเตอรอลได้ถึงวันละ 300 มิลลิกรัมต่อวัน แค่เพียงควบคุมปริมาณอาหารที่มีคอเลสเตอรอลในมื้ออื่น ๆ โดยการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไขมันต่ำ คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคอเลสเตอรอลสูงในร่างกายแล้วล่ะค่ะ

 3. แตงโม
          แตงโมเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคนที่ต้องการช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำ อย่างเพียงพอในตอนเช้า เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนผสมมาก เมื่อรับประทานแตงโมเข้าไปก็จะช่วยให้เราได้บริโภคน้ำเข้าไปด้วย นอกจากนี้ที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือแตงโมอุดมไปด้วยสารไลโคปีน (Lycopene) สารอาหารที่พบแต่ในอาหารที่มีสีแดงเท่านั้น ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพตา สุขภาพหัวใจ และป้องกันโรคมะเร็งได้ ขณะที่ปริมาณแคลอรีของแตงโมก็ต่ำมาก โดยที่แตงโม 1 ถ้วยมีปริมาณแคลอรีเพียง 40 แคลอรีเท่านั้น เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพและคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอย่างยิ่ง

 4. เมล็ดแฟลกซ์
          ลองโรยเมล็ดแฟลกซ์บดลงบนสมูทตี้หรือซีเรียลดูสิ รับรองได้เลยว่ามื้อเช้าที่แสนธรรมดาจะกลายเป็นอาหารที่อุดมด้วยไขมันโอเมก้า 3 อย่างแน่นอน เพราะแค่เมล็ดแฟลกซ์เพียง 2 ช้อนโต๊ะ ก็มีปริมาณไขมันโอเมก้า 3 มากกว่า 100% ของปริมาณไขมันโอเมก้า 3 ที่ควรได้รับต่อวัน อันมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ
          หากกลัวว่ารสชาติของเมล็ดจะแปลกจนไม่กล้ารับประทานละก็ ขอบอกเลยว่าเมล็ดแฟลกซ์มีรสชาติคล้าย ๆ ถั่วนี่ล่ะค่ะ นอกจากนี้เมล็ดแฟลกซ์ยังมีไฟเบอร์ ลิกแนน (lignans) สูง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้อีกด้วยนะ และถ้าอยากให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ละก็ควรจะใช้เป็นเมล็ดแฟลกซ์ชนิดบด หรือที่เป็นเครื่องเทศสำเร็จรูปจะดีกว่าค่ะ

 5. กาแฟ
          คอกาแฟต้องตาลุกวาวอย่างแน่นอนเมื่อได้ทราบกันแบบนี้ กาแฟ ถือเป็นอาหารเช้าที่ดีต่อร่างกาย เพราะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวแล้ว ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แถมยังช่วยให้คุณมีอายุยืนขึ้นอีกด้วย !
          โดยนักวิจัยได้พบว่า กาแฟเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็อย่าดื่มมากเกินไปค่ะ เดี๋ยวจะทำให้ใจสั่นไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ แถมกาแฟที่อุดมไปด้วยน้ำตาล จะทำให้กาแฟที่ดีมีประโยชน์กลายเป็นวายร้ายทำลายสุขภาพได้เหมือนกันนะ

 6. ชา
          หากคุณไม่ชอบดื่มกาแฟ ดื่มชาแทนก็ได้ค่ะ ถือว่าได้ประโยชน์เหมือนกัน แม้ว่าจะมีคาเฟอีนน้อยกว่า แต่ก็ช่วยให้คุณไม่ประสบกับภาวะขาดน้ำในตอนเช้าอย่างแน่นอน แถมในชายังอุดมไปสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอีกด้วย และขอบอกว่าชาทุกชนิดนั้นมีประโยชน์เท่ากันหมด แต่ถ้าอยากให้ได้ประโยชน์สูงสุดละก็ควรจะดื่มชาเขียว เพราะมีการศึกษาพบว่าการดื่มชาเขียววันละ 5 แก้วจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายและช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้ดีขึ้นอีกด้วย

 7. แคนตาลูป
          ไม่ว่าจะผลไม้ชนิดใดก็มีประโยชน์และเหมาะจะเป็นส่วนหนึ่งของอาหารเช้าทั้งนั้น แต่แคนตาลูปนั้นมีแคลอรีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผลไม้บางชนิด โดยแคนตาลูป 1/4 ลูก มีแคลอรี 50 แคลอรี และมีวิตามินซี และวิตามินเอสูงถึง 100% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอีกด้วย โดยวิตามินทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวลและดูเด็กกว่าวัยได้ ขณะที่ปริมาณของน้ำในแคนตาลูปก็ใช่ย่อย เพราะแคนตาลูปก็เป็นผลไม้ในตระกูลแตงเหมือนกัน ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดน้ำหรือจะหิวก่อนมื้อเที่ยงอย่างแน่นอน แคนตาลูปนี่ล่ะอยู่ท้องสุด ๆ

 8. น้ำส้ม
          น้ำส้มถือเป็นน้ำผลไม้ที่นิยมดื่มกันมาที่สุดในช่วงเช้า นั่นก็เป็นเพราะน้ำส้มมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย และยังมีวิตามินดีสูง ไปช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารจากอาหารที่เรารับประทานตอนเช้า อย่างเช่นปลาที่มีไขมันสูง หรือนมเสริมแร่ธาตุและวิตามิน และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ภาวะซึมเศร้า และโรคมะเร็งบางชนิดได้ แต่ก็ไม่ควรดื่มมากกว่า 1 แก้วเล็ก ๆ ต่อวันนะคะ เพราะน้ำผลไม้นี่ก็มีแคลอรีและน้ำตาลสูง แถมยังไม่สามารถทดแทนผลไม้สดได้อีกด้วย

 9. ซีเรียล
          ซีเรียลถือเป็นอาหารที่ง่ายสุด ๆ ในการรับประทานแค่เพียงเทใส่ถ้วยเติมนมก็รับประทานได้แล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าซีเรียลเองก็มีหลายแบบให้เลือกนะ ดังนั้นจึงควรเลือกซีเรียลที่ทำจากธัญพืช เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารที่สำคัญอย่างกรดโฟลิก และไรโบเฟลวิน (riboflavin) รวมทั้งแร่ธาตุต่าง ๆ จากธัญพืชอย่างเต็มที่ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น และถ้ายิ่งเติมผลไม้ลงไปด้วยในชามซีเรียลละก็ ก็จะยิ่งช่วยให้ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้

  10.ขนมปังโฮลวีท
          คาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารเช้าที่ทุกคนมักจะนึกถึง ถ้าเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตถูกประเภท นั่นก็หมายถึงประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมหาศาลเลยเชียวล่ะ โดยเฉพาะขนมปังโฮลวีทที่รวมเอาธัญพืชต่าง ๆ มาไว้ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์และแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากขึ้นนั่นเอง และถ้าอยากให้อิ่มอร่อยแบบได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นก็ควรเพิ่มโปรตี   นอย่างไข่เป็นแซนด์วิช หรือทาเนยอัลมอนด์ก็กำลังดีเลยนะ

          อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานอาหารเช้ากันเด็ดขาดเลยนะคะ เพราะนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้วก็ยังจะทำให้อ้วน และมีโรคภัยตามมาอีกมากมายอีกด้วย อย่ามัวแต่อ้างว่าไม่มีเวลากันเลยดีกว่า เพราะถ้าวันหนึ่งเกิดป่วยขึ้นมาต่อให้มีเวลามากแค่ไหนก็ไม่คุ้ม  กันค่ะ

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

“โรคไมเกรน” ช่วงหน้าร้อน



รับมือ “โรคไมเกรน” ช่วงหน้าร้อน

อาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือที่รู้จักกันในชื่อโรค  “ไมเกรน” นั้น เป็นโรคที่คนวัยทำงานป่วยเป็นมากที่สุด ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคปวดศีรษะไมเกรนมักพบบ่อยในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียคุณภาพชีวิตและสมรรถนะภาพในการทำงานของคนวัยนี้ลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนจะปวดแบบตุ๊บๆ บริเวณที่มีหลอดเลือดขนาดใหญ่ เช่น บริเวณขมับและท้ายทอย ระดับการปวดอาจรุนแรงปานกลางถึงมากจนไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติได้
ทั้งนี้ ผู้ป่วยประมาณ 60% จะปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง อีกประมาณ 35% จะปวดศีรษะสลับข้างไปมา ส่วนที่เหลือจะปวดศีรษะทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย นอกจากนี้ตาจะสู้แสงไม่ได้และไม่ชอบเสียงดัง อาการปวดจะแย่ลงเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ และเมื่อนอนพักอาการก็จะดีขึ้น หากไม่ได้รักษาอาการปวดจะอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง ความถี่ของอาการอาจเป็นได้หลายครั้งต่อเดือนหรือปีละ 1-2 ครั้ง
โรคปวดศีรษะไมเกรนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ แบบมีอาการเตือนจะเกิดขึ้นช่วงก่อนหรือหลังปวดไม่เกิน 1 ชั่วโมง นาน 15-30 นาที โดยมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น เห็นแสงวูบวาบ ซิกแซก หรือเงามืดขยายวงที่มุมหนึ่งของลานสายตา เจ็บหรือเหน็บชาร่างกายครึ่งซีก พูดผิดปกติและอ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก ส่วนในเด็กอาการปวดศีรษะอาจไม่ชัดเจนแต่จะมีอาการนำ เช่น อาเจียนหรือปวดท้องติดต่อกันโดยไม่มีสาเหตุอื่น และแบบไม่มีอาการเตือนจะพบมากประมาณ 85%
สาเหตุของโรคปวดศีรษะไมเกรนคือ มีการกระตุ้นต่อเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกที่บริเวณเยื่อหุ้มสมองและหลอดเลือดใหญ่ภายในกะโหลกหลั่งสารเคมีต่างๆ ไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง ส่งผลให้หลอดเลือดใหญ่ที่ติดกับเยื่อหุ้มสมองขยายตัวและทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมา ไมเกรนเป็นโรคเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาการของโรคอาจรุนแรงขึ้นจนทำให้ต้องใช้ยาแก้ปวดมากเกินขนาด
โดยธรรมชาติของโรคอาการจะดีขึ้นหลังวัยหมดระดู การรักษาในรายที่มีอาการไม่บ่อย (น้อยกว่า 2 ครั้งต่อเดือน) อาจรับประทานยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว ส่วนผู้ที่มีอาการปวดนานเกิน 72 ชั่วโมง ปวดศีรษะไมเกรนครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 55 ปี หรือขณะตั้งครรภ์ มีอาการปวดมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน และมีอาการปวดร่วมกับมีไข้ ผื่นผิวหนัง คอแข็ง ชัก กระตุก ซึมลง ตามัว เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรน ได้แก่ การอดนอน การทำงานหนักเกินไป การอดอาหารหรือรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เล่นกีฬาที่หักโหมเกินไป อากาศร้อน/เย็นจัดมองแสงจ้า เสียงดัง กลิ่นน้ำหอมบางชนิด กลิ่นสารเคมีบางอย่าง อาหารประเภทฟาสฟู้ด ชีส เนยแข็ง ไส้กรอก ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สารแทนความหวาน เป็นต้น นอกจากนี้ควรฝึกผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน การเรียน หากมีอาการปวดใช้น้ำแข็งประคบที่ศีรษะเพื่อบรรเทาอาการ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หรือนวดด้วยกลิ่นหอมจะช่วยให้ผ่อนคลายจากการปวดไมเกรนได้

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

10 น้ำผลไม้คลายร้อน


彡  10 น้ำผลไม้คลายร้อน !!!!

ในช่วงที่อุณหภูมิกำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างมองหาวิธีคลายร้อนต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องดื่มเย็นๆ ที่ช่วยดับกระหาย และเพิ่มความสดชื่นได้
เครื่องดื่มส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ มีส่วนผสมที่มีน้ำตาลสูง ถึงแม้จะช่วยดับร้อนได้แต่กลับเพิ่มผลเสียให้กลับร่างกายแทน  วันนี้เราจึงมี 10 น้ำผัก-ผลไม้คลายร้อน มานำเสนอ เป็น 10 เมนูเครื่องดื่ม ที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย แถมได้สุขภาพดีแบบเต็มๆ

1. ว่านหางจระเข้
ดีต่อสุขภาพผิวของคุณ เนื่องจากว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาและให้ความชุ่มชื้น รวมถึงอุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี บวกกับเอนไซม์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีกรดโฟลิกซึ่งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถบรรเทาอาการตับอ่อนอักเสบได้ ที่สำคัญว่านหางจระเข้ยังมีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกทั้งช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารด้วย

2. แอปเปิ้ล
ขึ้นชื่อในเรื่องการรักษาอาการท้องผูกและมีเพคทินซึ่งช่วยยับยั้งและกำจัดสารพิษในลำไส้ระหว่างการย่อยอาหาร อีกทั้งยังดีต่อตับเนื่องจากมีกรดมาลิคที่สามารถสลายนิ่วในถุงน้ำดี แอปเปิ้ลมีทั้งวิตามินเอและซี โปแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส ผลวิจัยเผยว่าการรับประทานแอปเปิ้ลจะช่วยบำรุงสมองและลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

3. บีทรูท
ขึ้นชื่อในเรื่องการทำความสะอาดเลือดและตับส่งผลให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีไนตริกออกไซด์ซึ่งจะช่วยขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และรักษาระดับความดัน บีทรูทอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์ซึ่งมีสรรพคุณต่อต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ ประกอบไปด้วยบีเทนซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร แถมยังช่วยปกป้องอวัยวะภายในและป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่สำคัญบีทรูทมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี6 และซีสูงมาก

4. แครอท
มีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์และชะลอกระบวนการแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและโปแทสเซียม ทั้งนี้แครอทยังขึ้นชื่อในเรื่องการขับกรดยูริคและสารพิษที่อยู่ในไตด้วย การวิจัยเผยว่าแครอทถูกจัดอยู่ในกลุ่มผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด

5. มะพร้าว
มีไขมันดีซึ่งดีต่อต่อมไทรอยด์ น้ำมะพร้าวคือส่วนผสมที่ได้รับความนิยมสูงในสูตรน้ำผลไม้จำนวนมากและขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากอุดมไปด้วยโปแทสเซียมและอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้มีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่าน้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำผลไม้บางชนิด แถมเนื้อมะพร้าวยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยเนื่องจากมีกรดไขมันที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับคลอเลสเตอรอลและมีกากใยที่ช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

6. มะเขือเทศ
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการทำงานของสมองและป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี บี6 และเค ไนอาซิน โปแทสเซียม ไบโอติน ฟอสฟอรัส แคลเซียม สังกะสี เหล็ก และเซเลเนียม รวมถึงกรดอินทรีย์ต่างๆ เช่น ซิตริกและมาลิค การศึกษาพบว่าไลโคปีนจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีส่วนเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัว ไขมันในร่างกาย ดัชนีมวลกาย และคลอเรสเตอรอลด้วย

7. คื่นช่าย
อุดมไปด้วยลูทีโอลินซึ่งเสริมสร้างการทำงานของสมองและบรรเทาอาการอักเสบ นอกจากนี้ใบคื่นช่ายยังเป็นแหล่งวิตามินเอชั้นเยี่ยม ขณะที่ก้านคื่นช่ายมีทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 และซี รวมถึงโซเดียม เหล็ก โปแทสเซียม แคลเซียม โฟเลต แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกรดอะมิโนที่จำเป็น

8. แตงกวา
เป็นผลไม้อีกชนิดที่ขึ้นชื่อในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 90 ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีแถมยังมีฤทธิ์เย็นตามธรรมชาติและช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังเสริมสร้างระบบย่อยอาหารเนื่องจากอุดมไปด้วยน้ำและกากใยอาหาร

9. ขิง
ขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณทางยา นิยมนำมาใช้เมื่อคุณมีอาการคลื่นเหียนหรือท้องไส้ปั่นป่วน ขิงจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ปกป้องตับ ช่วยสร้างความอบอุ่น กระตุ้นการไหลเวียน บรรเทาอาการอักเสบ ลดภาวะเลือดคั่งในปอด และดีต่อต่อมไทรอยด์ ที่สำคัญขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 12 ชนิด

10. มะนาว
อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี โฟเลต ฟลาโวนอยด์ และไลโมนีนซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีช่วยต่อต้านมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการรักษาต่อมไทรอยด์ มีฤทธิ์เป็นด่างในกระเพาะอาหารและช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

ทั้งนี้ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี ควรผสมน้ำตาลในปริมาณน้อยหรือไม่ผสมเลย จะให้ผลดีต่อร่างกายมากที่สุด

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า 
Cr : Panida

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

ใส่ใจสุขภาพด้วย ชาร้อน (Lisa)



ชาคู่กับกาแฟ แต่มีใครสักกี่คนที่รู้จักชา การดื่มชาของชาวจีนและชาวญี่ปุ่น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การดื่มเครื่องดื่มกันเล่นๆ ในยามว่างเท่านั้น แต่ถือได้ว่าเป็นประเพณี และวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมาแต่ในอดีตทีเดียว เพราะทั้งในบทกวี บทเพลง ข้อคิดมิตรภาพ ความเอื้ออาทร และความรัก ล้วนมีการดื่มชาเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ

ชา เครื่องดื่มที่ให้คุณอนันต์ นอกจากจะช่วยขจัดความอ่อนเพลีย และทำให้รู้สึกระปรี้กระเปร่าแล้วการดื่มชาจะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ทำให้การหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายดีขึ้น แก้กระหายน้ำ ช่วยบำรุงสายตา ขับปัสสาวะ ช่วยระบบการย่อยอาหารป้องกันการเกิดมะเร็ง และบำรุงหัวใจ แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ชามีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการแก่ก่อนวัย และอื่นๆ อีกมากมาย แล้วคุณจะไม่ลองดื่มชาสักหน่อยหรือ

ชามีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งชาจีน ชาเขียวญี่ปุ่น ชาฝรั่ง ชาซอง ชาเมื่ยง และชากลิ่นดอกไม้ผลไม้ ซึ่งชาชนิดหลังนี้หาเป็นชาไม่ เป็นเพียงแต่การนำใบชามาอบแห้ง พร้อมการปรุงแต่งกลิ่น และสี ชาทั้งหมดทั้งปวงที่เอ่ยมาหาได้แตกต่างกันไม่ ชาก็คือชา เพียงแต่ต่างถิ่นกำเนิดเท่านั้น มีตำราหนังสือดีๆ อีกหลายเล่มที่ให้ความรู้เรื่องชาอย่างลึกซึ้ง

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มดื่มชา ควรลองดื่มให้พอใจในกลิ่น และรสของชาเสียก่อน ใช้เวลาในการมองดูสีน้ำชา สนุกกับการดูใบชาคลี่ตัวร่ายระบำอยู่กลางถ้วยสูดดมไอกลิ่นหอมที่ลอยละล่อง หากคุณเรียนรู้ที่จะเลือกรสชาติที่ชื่นชอบได้แล้ว ควรลองชิมชาประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาจีน ชาญี่ปุ่น หรือชาฝรั่ง ทั้งชาจีน และชาญี่ปุ่น มีวิธีการชงที่ค่อนข้างมีพิธีรีตรองมาก สำหรับชาฝรั่ง ไม่ยุ่งยากนัก แต่จะมีชื่อเรียกตามแต่โอกาสและอาหารที่ทานกับชา เช่น Low Tea เป็นการดื่มชาพร้อมรับประทานอาหารว่าง เช่น แซนด์วิชชิ้นเล็กๆ บิสกิต และเค้ก หรือคุกกี้ แต่ชิ้นเอกคงเป็นสโคน (Scone) ที่ทานกับวิปปิ้งครีม และแยมรสต่างๆ ซึ่งจะเริ่มทานกันตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นยาวไปจนถึง 1-2 ทุ่มเลยทีเดียว ส่วน High Tea เป็นการดื่มชาหลังอาหารค่ำ ซึ่งเป็นอาหารมื้อหนัก และยังมีการเรียกชื่อต่างๆ ออกไปอีกตามเวลา สถานที่ และโอกาส แล้วแต่เจ้าภาพจะเรียก เช่น English Afternoon Tea หรือ Meat Tea เป็นต้น

ชาซอง ดูจะเป็นการดื่มชาที่ง่ายที่สุด มีข้อควรจำไว้ว่า ชา 1 ซองมีความเข้มข้นเท่ากับปริมาณน้ำ 2 ถ้วย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าชาเข้มข้นมากพอหรือยัง ให้ใส่ซองชาหรือชาลงในถ้วย เทน้ำร้อน คอยให้น้ำออกสีชา สังเกตดูว่าถ้ามองเกือบไม่เห็นปลายช้อนเป็นใช้ได้ ที่สำคัญอย่าได้ใช้ช้อนบี้กดคั้นน้ำออกจากซองชา เพราะจะทำให้น้ำชามีรสฝาดได้

ลดดื่มกาแฟสักหนึ่งถ้วย แล้วลองเปลี่ยนบรรยากาศมาจิบชาร้อนๆ ดูบ้าง แล้วคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นแบบไม่เย็นชา

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559

วันจักรี 2559


วันนี้วันจักรี...
.
วันที่ 6 เมษายนของทุกปีเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน ที่ประชาชนชาวไทยรู้จักแต่ละพระองค์ในพระนาม ร.1 - ร.9 ตามลำดับ
.
ร่วมกับรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์จักรีกันในโอกาสนี้ด้วยนะคะ

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

งดจ่ายไฟฟ้า 25 – 27 มี.ค. 59

การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) ออกประกาศเตือนให้ประชาชนทราบ ว่า จะทำการพัฒนาและปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงประกาศงดจ่ายไฟระหว่างวันที่ 25 -27 มีนาคม 2559 เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวรับการดับไฟดังกล่าว ซึ่งหากสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ กฟน.ทุกเขตหรือ MEA Call Center โทร.1130 โดยจะงดจ่ายไฟฟ้า ในวันเวลาและพื้นที่ดังต่อไปนี้
วันที่ 25 มีนาคม 2559 เวลา 09.00 – 12.00 น.
-ซอยประชาชื่น 34 กรุงเทพฯ  (ดับทั้งซอย)
วันที่ 26 มีนาคม  2559 เวลา 08.00 – 16.00 น.
-ถนนสมานมิตรพัฒนา  ซอย  อนามัยงามเจริญ 25 แยก 2-9, แยก 2-11 และหมู่บ้านอลิชา 2 ถึง สนามฟุตบอล
เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ซอยจอมทอง ตั้งแต่ซอยจอมทอง 6  ถึงสวนสุวรรณานนท์
-ซอยสุขุมวิทย์ 70/3
-ถนนศาลาธรรมสพน์ ตั้งแต่หมู่บ้านชัยพฤกษ์, ซอยโรงเรียนวัดปุรณาวาส, หมู่บ้านศิรยาถึงศาลายาอพาร์ทเม้นต์
-ถนนประชาราษฎร์สาย 1 ตั้งแต่สะพานพิบูบย์ฯ ถึงแยกบางโพ
-ซอยศาลธนบุรี 25,27 (หมู่บ้านแดนทอง 1,2)
และซอยศาลธนบุรี 29 (หมู่บ้านกิจเจริญ)
เวลา 08.30- 16.00 น.
                -ซอยพึ่งมี 42,48,50 และ 52
-ซอยพึ่งมี50 ตั้งแต่ซอยพึ่งมี 50 แยก 2 ถึงซอยพึ่งมี 50 แยก20
-นิรันดร์คอนโด
เวลา 09.00 – 15.00 น.
-ถนนอโศกดินแดง ตั้งแต่หมู่บ้านสินสยาม,การทางพิเศษแห่งประเทศไทย,ศูนย์ควบคุมทางด่วน 2 ถึง สน.ทางด่วน 2
-ซอยลาดพร้าว 115
นนทบุรี เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ถนนวัดเพลง ตั้งแต่ซอยไทรม้า 11 วัดบางนาง,หมู่บ้านสิรภัทร 2 และ 3 ,หมู่บ้านวัฒกาญจน์ ซอยประชาร่วมใจ, ซอยไสวพล,หมู่บ้านเพอร์เฟกพาร์ค, คลองลุงชิน, ซอยป้าน้อม,หมู่บ้านธรรมชาติ,หมู่บ้านเดอะนารียา ซอยไทรม้า 20,วัดบางนา,หมู่บ้านบางประดู่ ซอยบางรักน้อย 18/3,ซอยป้าแพร, ซอยไทรม้า 23 ถึงซอยไทรม้า 22
-ถนนติวานนท์ ซอยแผ่นดินทอง 17/3
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2559
กรุงเทพมหานคร เวลา 08.00 – 16.00 น.
-ซอยเทียนทะเล 20/1(ดับทั้งซอย)
เวลา 08.00 – 17.30 น.
-สะพานข้ามคลองบางปรากด ถึงซอยสุขสวัสดิ์นิเวศน์ 1 (ยกเว้นซอยวัดแค และบริษัทแอล พี  เอ็น จำกัด)
เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ซอยจรัญสนิทวงศ์ 97 (ดับทั้งซอย)
                -ซอยเทิดไท 33 ตั้งแต่ปากซอยวัดบางสะแกในถึงเทิดไท 33 แยก 4
                -ซอยอุดมสุข 32,34,36 และ 38
                -ถนนดินแดง 1 ซอยแสงอุทัยทิพย์
                -ซอยผาสุกการโกวิท(ฝั่งเหนือ ตั้งแต่หมู่บ้านคาซ่าวิลล์ ถึงแยกโรงเรียนวิชัย,ซอยเอกชัย 69
(สี่แยกทางรถไฟ)
เวลา 08.30 – 16.00 น.
                -ซอยศรีนครินทร์ 40 ถึงซอยศรีนครินทร์ 42
                -ซอยสุภาพงษ์ 3 แยก 2 ถึงซอยสุภาพงษ์ 3 แยก 5
                -ซอยสุภาพงษ์ 4 และซอยสุภาพงษ์ 8
                -หมู่บ้านไหมไทย,หมู่บ้านร่วมเย็น,โกมลอพาร์ทเม้นท์ ศรีนครินทร์และอาคารฟาร์มแลนด์
เวลา 08.30 – 16.30 น.
                -ปากซอยสุขสวัสดิ์ 14 ตั้งแต่ ซี.เค. อพาร์ทเม้นท์  ถึงหมู่บ้านเบลเลอวิลล์
เวลา 09.00 -15.30 น.
                -ถนนนวมินทร์ ตั้งแต่ซอย 13 ถึงถนนแฮปปี้แลนด์
นนทบุรี เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ถนนบางกรวย – มหาสวัสดิ์ ตั้งแต่ซอยอุดมลาภ,ซอยพินัยทรัพย์,บ้านมหาสวัสดิ์,หมู่บ้านเอเบิ้ลแลนด์ถึงซอยกำนันจุน
-ถนน 345 ซอยวัดตาล แยกจากซอยวัดสะพานสูง
-ถนน 340 ตั้งแต่ถนนไทรน้อย-ลาดบัวหลวง ถึงสามแยกซอยโรงเรียนบ้านราษฎร์นิยม
-ถนนรัตนาธิเบศร์ ซอยหมู่บ้านซิตี้โฮม,หมู่บ้านศุภาลัยวิลล์ รัตนาธิเบศร์, ลุมพินีปาร์ค รัตนาธิเบศร์ ซอยรัตนาธิเบศร์ 29 (เกร็ดแก้ว)และหมู่บ้านโนเบิ้ลธารา ซอยรัตนาธิเบศร์ 24
ที่มา : Thaiquote

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีทำให้ฟันขาว ด้วย 5 สูตรที่ทำเองได้ที่บ้าน



  วิธีทำให้ฟันขาว ไม่เห็นต้องไปหาหมอฟันเลยนะเออ เพราะแค่ใช้ 5 สูตรง่าย ๆ ที่ทำเองได้ที่บ้าน แค่นี้ฟันเหลือง ๆ ก็จะขาวขึ้นแล้ว

          ลองนึกดูสิว่าถ้าคุณแต่งหน้าทำผมและแต่งตัวมาซะสวย แต่พอแจกความสดใสผ่านรอยยิ้มทีหนึ่ง ก็ไม่น่ามองเอาซะเลย เพราะฟันเหลืองซะเหมือนคนไม่ได้ดูแลสุขภาพช่องปากมาเลยน่ะสิ งานนี้ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินฟอกสีฟันให้เปลือง แค่ใช้ 5 สูตรที่กระปุกดอทคอมหยิบมาจาก Bustle ไปลองใช้ดู ง่าย ๆ แถมได้ผลด้วย ต้องลองแล้วนะแบบนี้

วิธีทำให้ฟันขาว

สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ + เบกกิ้งโซดา + น้ำมะนาว
          มีหลายคนเลยที่นิยมนำน้ำมะนาวมาช่วยให้ฟันขาวขึ้น แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพให้มากกว่าเดิม ลองใส่ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และเบกกิ้งโซดาลงไปในน้ำมะนาวด้วยสิ แล้วค่อยใช้แปรงสีฟันไปจุ่มส่วนผสม แล้วมาขัด ๆ ถู ๆ ที่ฟัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ

สูตรผงขมิ้น
          นอกจากผงขมิ้นจะดีต่อผิวแล้ว ก็ยังช่วยเปลี่ยนฟันเหลือง ๆ ให้ขาวขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในผงขมิ้นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านแบคทีเรียนั่นเอง แค่นำแปรงสีฟันที่เปียกหมาด ๆ มาจุ่มผงขมิ้นเล็กน้อย แล้วนำมาแปรงฟัน ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วค่อยบ้วนออก หลังจากนั้นแปรงด้วยยาสีฟันปกติ ทำอย่างสม่ำเสมอรับรองว่าฟันขาวขึ้นแน่นอน

สูตรผงถ่าน (Activated Charcoal)
          ฟันเหลืองจนหมดความมั่นใจไม่ต้องกังวล แค่หยิบแปรงสีฟันเปียก ๆ มาจุ่มผงถ่านแล้วนำมาขัดถูฟันให้นานสักพัก  พอล้างออกแล้วแปรงด้วยยาสีฟันปกติ เท่านี้ฟันก็จะขาวขึ้นจนรู้สึกได้หลังแปรงเลยแหละ

สูตรเปลือกกล้วย
          เปลือกกล้วยที่กินทุก ๆ เช้าน่ะอย่าไปทิ้ง เพราะแค่นำมาถู ๆ บนฟันและเหงือก ก็จะช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้ด้วย เพราะในเปลือกกล้วยเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้นั่นเอง

สูตรออยล์ พูลลิ่ง (Oil Pulling)
          สาว ๆ คงเคยได้ยินคำว่า ออยล์ พูลลิ่ง หรือ การอมน้ำมันมะพร้าวกลั้วปากแล้วบ้วนทิ้งกันมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ บอกเลยว่าวิธีนี้ดีมาก ๆ ต่อสุขภาพ แถมยังทำให้ฟันของคุณขาวขึ้นได้ด้วยนะ

      ว้าว … สูตรฟันขาวเหล่านี้ดีจริง ๆ เลย เพราะของแต่ละอย่างที่หยิบมาใช้ก็หาง่าย แถมยังไม่แพงอีกด้วย แบบนี้ใครชอบกินชากาแฟบ่อยจนฟันเหลืองแล้ว ก็รีบหยิบสูตรดี ๆ แบบนี้ไปใช้กันเลยดีกว่าเนอะ

สำหรับคนรักสุขภาพแอดมินแนะนำเพจนี้เลยจ้า 
" Good health สาระดีดี "  
มีบทความเกี่ยวกับสุขภาพ รักสุขภาพ นานาสาระสุขภาพมาให้อ่านกันจ้าาาาา
>> จิ้มเบาๆนะ http://line.me/ti/p/%40gfb8031v

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู - ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้




‘ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู’ ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้

“สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ 

1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา
2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ
3.สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ

ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้”

นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ (หมอเบิร์ด) รพ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ได้พบการรักษาโรคหลอดเลือดในสมองตีบจากสมุนไพรก้นครัว

เนื่องจาก มีคนไข้ผู้ชายรายหนึ่งหลอดเลือดที่คอตีบ เลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน หมอได้ใช้ยารักษาและป้องกันจนดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ ใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบัลลูนขยายเส้นเลือด

เรื่องของเรื่อง คือ คนไข้ไม่อยากผ่าตัด ขอกินยาสมุนไพร หมอ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย 6 เดือนผ่านไปปรากฏว่า เส้นเลือดที่เคยตีบหรือขรุขระกลับเรียบสวยไม่ต้องผ่าตัดแล้ว หมอจึงสอบถามว่าไปทำอะไรมา คนไข้จึงแจ้งตุ๋นสมุนไพร ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปแล้ว

และว่า รายที่ 2 อาการหนักมาก อายุ 70 ปี เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดออกในกระเพาะ ต้องให้ยารักษาประคองอาการ หมอจึงเล่าให้ลูกสาวคนไข้ฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร ซึ่งแพทย์ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู ปรากฏว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น

หมอห่วงว่าจะเป็นดาบสองคมจึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิท แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนได้ล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน ผลที่ได้คือ ไตยังทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะพุทราจีนบำรุงไต
ส่วนผสม คือ

น้ำ 1 ลิตร

พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล

เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก

ขิง 1 ขีดใหญ่

ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง

ได้น้ำงวดลงไป 40-50 % แล้วกินแต่น้ำ

ขิงแก่มีฤทธิ์ร้อน ซึ่งสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนช่วยลดไขมันในเลือดได้ แค่ต้องค่อยๆ กินไประยะหนึ่ง แต่ถือว่าปลอดภัย พุทราจีน น่าจะเป็นส่วนประกอบทำให้กินได้ง่ายขึ้น เพราะมีรสหวาน ส่วนเห็ดหูหนูดำช่วยลดไขมันในเลือดได้จริง แต่ฤทธิ์น้อยมากเมื่อเทียบกับสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอื่นๆ แต่เมื่อนำ 3 อย่างมาตุ๋นรวมกันก็ถือเป็นอาหารสมุนไพรในการดูแลสุขภาพได้

หมอบอกอีกว่า อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนทั้งหมดมีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เช่น ขิง กระเทียม พริกไทย ข่าสามารถนำมาเป็นส่วนผสมในการประกอบอาหาร สามารถกินได้ทุกมื้อในทุกวัน ใส่เล็กผสมน้อยก็สามารถช่วยลดไขมันในเลือด

สมุนไพรไทยมีสรรพคุณกว้างมาก และส่วนใหญ่ช่วยลดไขมันในเลือด รวมทั้งน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะการกินผักและผลไม้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์มติชน
Cr : นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี



วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์หลายสถานของมะพร้าวน้ำหอม

ประโยชน์หลายสถานของมะพร้าวน้ำหอม



ประมวลสรรพคุณมะพร้าวในตำราแพทย์ไทย
1. ลดไข้ วุ้นเนื้อมะพร้าวอ่อนกับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาเย็น ช่วยให้อาการไข้ตัวร้อนทุเลาลง
2. แก้ร้อนใน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนในตอนเช้าให้หมด และในตอนบ่ายดื่มอีกลูกหนึ่งจนหมด กินเนื้อด้วยก็ได้
3. แก้ท้องเสีย ใช้รากมะพร้าวล้างสะอาด 3 กำมือ ทุบพอแตกต้มน้ำ 5 แก้ว เคี่ยวเอา 2 แก้ว ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว เช้า กลางวัน เย็น
4. แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำกะทิเคี่ยวให้ร้อน เอาผักเสี้ยนผีล้างสะอาดสับเคี่ยวด้วยกัน ใส่เมนทอลเล็กน้อยเพื่อกลิ่นหอม และเพิ่มพลังแทรกซึมของตัวยานวด แก้ปวดเมื่อย ช้ำบวม อักเสบ
5. รักษาแผลเรื้อรัง เอากะลามะพร้าวถูตะไบ ได้ผงละเอียด ผสมกับน้ำมันมะพร้าว แทรกพิมเสนเล็กน้อย ทาแผลเรื้อรัง เช้า กลางวัน เย็น ทาบ่อยๆ
6. แก้จุกเสียด แน่นท้อง เอากะลามะพร้าวเผาไฟให้เป็นถ่าน มาบดเป็นผงละเอียด ละลายน้ำอุ่น ดื่มแก้จุดเสียดแน่นท้องได้ ดื่มสัก 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
7. รักษาเกลื้อน เอากะลามะพร้าวแก่จัดที่ขูดแล้ว ที่มีรู มาใส่ถ่านไฟแดงๆ จะทำให้เกิดน้ำมันมะพร้าวไหลออกมา เอาน้ำมันนั้นทาโรคเกลื้อนได้ดีเยี่ยม ทาแล้วทิ้งไว้ 7 วันล้างออก ยางจะติดแน่นอยู่ เกลื้อนจะค่อยๆ หาย
8. แก้ปวดฟัน เอากะลามะพร้าวแก่จัด มีรู ขูดเอาเนื้อออกใหม่ๆ ใส่ถ่านไฟแดงลงไป รองน้ำมันมะพร้าวที่ไหลออกมาเก็บใส่ขวด ปิดแน่นไว้ ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำมันมะพร้าว อุดรูฟันที่ปวด อย่าให้สัมผัสเหงือกหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ จะเกิดความชาได้
9. รักษาคางทูม เอาน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณคางทูมบ่อยๆ วันละ 2 - 3 ครั้ง ทาบางๆ 2 - 3 วัน อาการคางทูมจะดีขึ้น
10. รักษาดีซ่าน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น ทุกวัน เพียง 2 วันก็หาย
11. รักษาแผลเป็น ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากกะลามะพร้าวเผาไฟถ่าน ทาที่แผล แผลจะหายไปในไม่กี่วัน เมื่อแผลหายจะไม่เป็นแผลเป็น
12. แก้ตาอักเสบ เอาน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย ผสมน้ำตาลทรายแดงให้หวานจัดๆ เอาไว้ดื่ม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อาการอักเสบของดวงตาจะค่อยๆ หายไปเองในที่สุด
13. แก้คลื่นไส้อาเจียน เอามะนาว 1 ซีก บีบผสมน้ำมะพร้าวอ่อน ดื่มแก้อาเจียนได้ดี
14. แก้โรคบิด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น แก้โรคบิดได้ดีมาก
15. บำรุงผิวพรรณ ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนสัปดาห์ละ 4 - 5 ผล ช่วยบำรุงผิวพรรณ แก้เม็ดผดผื่นคัน บำรุงร่างกายให้สดชื่น
16. แก้ปัสสาวะขัด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น
17. แก้พิษเบื่อเมาได้ดี ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก ไม่กินเนื้อ อีก 2 - 3 ชั่วโมง ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเย็นๆ เข้าไปอีก แก้วิงเวียน เมา ปวดท้อง ปวดไส้ ล้างพิษที่เกิดขึ้นได้ดี
18. แก้เมาเหล้า เอาน้ำมะพร้าวอ่อนไม่ต้องแช่เย็น ดื่มแก้เมา แก้อาเจียนจากเหล้าได้ดี
19. แก้ไอ เอาน้ำมะพร้าวห้าวมาดื่มจะมีสรรพคุณรักษาอาการไอได้ดีมาก ดื่มเฉพาะน้ำเท่านั้น
20. แก้ชันนะตุพุพอง น้ำมันมะพร้าวผสมเหง้าขมิ้นชัน สารส้มเล็กน้อย ทาบริเวณที่เป็นชันนะตุหรือใช้เพียงน้ำมันมะพร้าวเพียงอย่างเดียวก็ได้ผลดีเช่นกัน
21. แก้รังแค ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเคี่ยวน้ำกะทิแก่จัด เคี่ยวได้น้ำมันมะพร้าวใหม่ๆ ให้เย็นลงทาศีรษะ 30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพู ใช้เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว
22. รักษาน้ำกัดเท้า เอาน้ำมันมะพร้าวผสมสารส้ม น้ำปูนใส และเกลืออย่างละเล็กน้อย กวนคนผสมกันให้ดี เอามาทาแผลทันที บ่อยๆ จะหายเร็วขึ้น
23. แก้ผื่นคัน เอาเนื้อมะพร้าวขูดเคี่ยวน้ำมันออกมา แล้วเอากากที่เหลือเคี่ยวไปด้วยกันอย่าทิ้ง จนไหม้เกรียมดำ แล้วเอาน้ำมะพร้าวนี้ ซึ่งมีเนื้อมะพร้าวขูดที่ไหม้ไปใช้ประโยชน์ได้
24. รักษาฝ่ามือแห้งแตกและเล็บขบ ใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวใหม่มาใช้ได้ดี หรือใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามีรูจากถ่านไฟก็ได้ ทาเช้า กลางวัน เย็น หรือหยอดเล็บขบ จะหายเร็วและไม่ปวด
25. แก้เบาหวาน เอามะพร้าวแก่ขูดเอาเนื้อคั่วให้เหลือง หอม กรอบ โรยเกลือเล็กน้อย ใส่ขวดปิดฝาแน่น รับประทานครั้งละ 1 ช้อนแกง เช้า กลางวัน เย็น สัก 10 - 15 วัน ระดับน้ำตาลจะลดลงเรื่อยๆ
26. แก้ปากเปื่อย ปากเป็นแผล อมน้ำกะทิสด (จากมะพร้าวแก่) ครั้งละ 5 - 10 นาที 2 - 3 วัน
27. รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้มะพร้าวกะทิปิดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้ได้ดีทีเดียว
28. แก้ไข้ทับระดู เอาจั่นมะพร้าวหรือทะลายดอกมะพร้าว ที่ยังคงมีกาบหุ้มอยู่ ต้มน้ำดื่ม เช้า กลางวัน เย็น อาการไข้ทับระดูจะค่อยๆ หายไป ชาวบ้านบางคนใช้รากก็ได้ผล
29. รักษาลำไส้อักเสบ เอาเปลือกมะพร้าวมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำดื่มต่างน้ำ ลำไส้อักเสบจะค่อยๆ ทุเลาลง จนกระทั่งหายไปในที่สุด (ควรใช้เปลือกมะพร้าวห้าว มะพร้าวแก่หรือมะพร้าวแห้ง)
30. แก้อีสุกอีใส ใช้ใบมะพร้าวต้มน้ำดื่ม แก้อีสุกอีใสได้
31. รักษาอาการเคืองตา ใช้เนื้อมะพร้าวอ่อนสดๆ แปะที่ดวงตา อาการเคืองตาจะทุเลาลงและหายไปได้
**ข้อมูลจากเรื่องน้ำมันมะพร้าว บทบาทต่อสุขภาพและความงาม โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายพืชปลูกพื้นเมืองไทย จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ความรู้ โดยองค์การเภสัชกรรม (GPO)
Cr.การทำอาหารและยาสมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ดี




วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

วันสตรีสากล 8 มีนาคม 2559

วันสตรีสากล 8 มีนาคม 2559





วันสตรีสากล 8 มีนาคม

วันสตรีสากล 8 มีนาคม
           วันสตรีสากล 2016 วันที่ 8 มีนาคม วันสตรีสากล 2559 Google เผยโฉมดูเดิลใหม่ รวมผู้หญิงทั่วโลกไว้ในที่เดียว เมย์-รัชนก นักแบดมินตันคนเก่งของไทยโผล่แจมด้วย พร้อมอ่านประวัติความเป็นมา วันสตรีสากล International Women's Day ได้ที่นี่เลย

            วันนี้ใครเข้ากูเกิลคงจะสะดุดเข้าให้กับดูเดิลใหม่ที่มีปุ่มให้กด Play วิดีโอบนหน้าเว็บไซต์ และเมื่อกดไปก็จะพบผู้หญิงหลายคนทั่วโลกมาบอกเล่าความใฝ่ฝันของตัวเองว่าวันหนึ่งพวกเธออยากจะเป็นอะไรหรือทำอะไร โดยหนึ่งในผู้หญิงทั้งหลาย คือ เมย์-รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันสาวไทย ที่ได้ร่วมแชร์เป้าหมายในชีวิตของเธอว่า "วันหนึ่งเมย์ฝันอยากจะคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้ได้ค่ะ"

            แน่นอนว่ามีแต่ผู้หญิงแบบนี้ ดูเดิลนี้จะเป็นดูเดิลเนื่องในโอกาสอื่นใดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่วันสตรีสากล กระปุกดอทคอมจึงขอพาทุก ๆ ท่านไปทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของ วันสตรีสากล (International Women's Day) เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของสตรี นอกจากนี้ ในทุก ๆ ปี เมื่อถึง วันสตรีสากล นานาประเทศก็จะจัดกิจกรรมฉลองวันแห่งความเสมอภาคของเหล่าสตรีทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน

การกำหนดวันสตรีสากล

          วันสตรีสากล (International Women's Day) ตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่เหล่าสตรีจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพใด จะร่วมเฉลิมฉลองความเสมอภาคที่ได้รับมา และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันในสังคมอีกด้วย


วันสตรีสากล

ความเป็นมาของวันสตรีสากล

          ประวัติความเป็นมาของวันสตรีสากล เกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พากันลุกฮือประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับมีผู้หญิงถึง 119 คนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ด้วยการที่มีคนลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่พวกเธอนั่งชุมนุมกันอยู่ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857 (พ.ศ. 2400)

          จากนั้นในปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาทนไม่ไหวต่อการเอารัด เอาเปรียบ กดขี่ ทารุณ ของนายจ้างที่ใช้งานพวกเธอเยี่ยงทาส เนื่องจากกรรมกรหญิงเหล่านี้ต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใด ๆ เป็นผลให้เกิดความเจ็บป่วยล้มตายตามมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่กลับได้รับค่าแรงเพียงน้อยนิด และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก

          ความอัดอั้นตันใจจึงทำให้ "คลาร่า เซทคิน" (CLARE ZETKIN) นักการเมืองสตรีสายแนวคิดสังคมนิยม ชาวเยอรมันตัดสินใจปลุกระดมเหล่ากรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1907 พร้อมกับเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการทุกอย่าง และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย

          อย่างไรก็ตามแม้การเรียกร้องครั้งนี้ จะไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีแรงงานหญิงหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ทำให้สตรีทั่วโลกสนับสนุนการกระทำของ "คลาร่า เซทคิน" และเป็นการจุดประกายให้สตรีทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น 

          ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2451) มีแรงงานหญิงกว่า 15,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมืองนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็ก โดยมีคำขวัญการรณรงค์ว่า "ขนมปังกับดอกกุหลาบ" ซึ่งหมายถึงการได้รับอาหารที่พอเพียงพร้อม ๆ กับคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง

          จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) ความพยายามของกรรมกรสตรีกลุ่มนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยในที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี ในระบบสาม 8 คือ ยอมให้ลดเวลาทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง ให้เวลาศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองอีก 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับค่าแรงของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย และยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย 

          ทั้งนี้ยังได้รับรองข้อเสนอของ "คลาร่า เซทคิน" ด้วยการกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันสตรีสากล 


คลาร่า เซทคิน 
ภาพจาก dhm.de

คลาร่า เซทคิน ผู้ให้กำเนิดวันสตรีสากล

          คลาร่า เซทคิน (Clara Zetkin) เดิมชื่อคลาร่า ไอนส์เนอร์ ต่อมาแต่งงานกับเพื่อนนักศึกษา ออพซิป เซทกิ้น มีบุตรด้วยกัน 2 คน คลาร่าเป็นนักการเมืองสตรีแนวคิดสังคมนิยม หรือมาร์กซิสต์ เชื้อสายเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1857 ที่เมืองไวเดอรูว์ แคว้นแซกโซนี ประเทศเยอรมนี ตลอดช่วงชีวิตของคลาร่า เธอได้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเสมอภาคของสตรีอยู่ตลอดเวลา โดยในปี ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432) คลาร่า เซทคิน ได้แสดงสุนทรพจน์ในเรื่องปัญหาของสตรีต่อที่ประชุมผู้ก่อตั้งสภาคองเกรสสากล ครั้งที่ 2 ในกรุงปารีส ซึ่งใจความสำคัญคือการเรียกร้องให้สตรีมีสิทธิในการทำงาน ให้มีการคุ้มครองสตรีและเด็ก รวมทั้งยังได้เรียกร้องให้สตรีมีส่วนร่วมในการประชุมระดับชาติและระดับสากล อีกด้วย 

          ต่อมาในปี 1907 คลาร่า เซทคิน ได้ก่อตั้งกลุ่มนักสังคมนิยมสตรีในเยอรมนี ก่อนที่จะเป็นแกนนำของกลุ่มผู้ใช้แรงงานสตรีโรงงานทอผ้า เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา เดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานของสตรี เหลือ 8 ชั่วโมง พร้อมปรับปรุงสวัสดิการในโรงงานจนนำไปสู่การประชุมขององค์กรสตรีในปี ค.ศ. 1910 พร้อมกันนี้คลาร่าก็ได้เสนอให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสตรีสากล เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857 ที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานสตรีโรงงานทอผ้า กรุงนิวยอร์ก สหรัฐฯ รวมตัวกันประท้วงก่อนเกิดโศกนาฏกรรม ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของเธอ

          จากนั้นในปี ค.ศ. 1914 คลาร่า เซทคินได้ร่วมกับนางโรซา ลักเซมเบอร์ก (Rosa Luxemberg) นักคิดสายแนวคิดสังคมนิยม รณรงค์ต่อต้านสงครามโลกครั้งที่ 1 ในนามของกลุ่มสปาร์ตาซิสต์ มีจุดประสงค์ที่จะต่อต้านรัฐบาลเยอรมนีที่ส่งทหารไปร่วมรบ เพราะทำให้ประชาชนมีแต่สูญเสีย ต่อมาในปี ค.ศ. 1918 นางเซทคินก็ได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมนี และได้เป็นผู้แทนสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนีหรือสภาไรซ์สตัก

          ในปี ค.ศ. 1920-1932 คลาร่า เซทคินเข้าเป็นแกนนำต่อต้านอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี และต่อต้านการใช้อำนาจเผด็จการ โดยเธอได้กล่าวสุนทรพจน์โจมตีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์อย่างรุนแรง จนถึงปี ค.ศ. 1933 พรรคนาซีเยอรมันเข้ารวบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ และอดอล์ฟ ฮิตเลอร์มีอำนาจในการปกครองอย่างเด็ดขาด ทำให้คลาร่า เซทคิน ต้องยุติบทบาทนักการเมืองสายแนวคิดสังคมนิยม ก่อนถูกรัฐบาลตามล่ากวาดล้างจนต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตที่ประเทศรัสเซียแทน และถึงแก่กรรมในปีเดียวกัน

          ความพยายามของคลาร่า เซทคิน ในการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้กับสตรี อีกทั้งยังทำงานเพื่อสตรีมาโดยตลอด ทำให้คลาร่า ได้รับการขนานนามจากกลุ่มองค์กรสตรีนานาชาติว่าเป็น "มารดาแห่งการเคลื่อนไหวสตรีสากล"
วันสตรีสากล
วันสตรีสากล

ความสำคัญของวันสตรีสากล

          ในวันสตรีสากล บรรดาผู้หญิงในหลาย ๆ ประเทศจากทุกทวีปรวมทั้งองค์กรที่ทำงานด้านผู้หญิงจะรวมตัวกันเพื่อร่วมฉลอง วันสำคัญนี้ และร่วมรำลึกถึงการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของผู้หญิง อย่างไรก็ตามในหลาย ๆ ประเทศเห็นความสำคัญของวันสตรีสากลจึงได้กำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมเป็นวันหยุดประจำชาติ และวันสตรีสากลก็ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่องค์กรสหประชาชาติจะได้ร่วมเฉลิมฉลองอีกด้วย

การจัดกิจกรรมวันสตรีสากลในประเทศต่าง ๆ

          จากการที่กำหนดวัน สตรีสากลขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1910 ทำให้มีการจัดกิจกรรมสตรีสากลเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) โดยมีประชาชนทั้งชายและหญิงมากกว่า 1 ล้าน จากในประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ เข้าชุมนุมเรียกร้องสิทธิในการทำงาน พร้อมขอให้ยุติการแบ่งแยกในการทำงาน จากนั้นในปีถัดมาก็เริ่มมีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดนตามมา

          ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 (พ.ศ. 2456) แรงงานหญิงชาวรัสเซียได้ร่วมชุมนุมที่นครเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก เพื่อประท้วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เป็นเหตุให้ต้องสูญเสียทหารรัสเซียกว่า 2 ล้านคน แรงงานหญิงกลุ่มนี้จึงเดินขบวนเรียกร้อง แม้จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปราบปรามก็ตาม แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายาม จนอีก 4 วันถัดมา พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียถูกโค่นล้มอำนาจ รัฐบาลที่เข้ามาบริหารใหม่จึงให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งแก่สตรีอย่างเท่าเทียม

          ดังจะเห็นว่า กิจกรรมส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันสตรีสากลช่วงแรก ๆ นั้น มักเป็นไปเพื่อการเรียกร้องสันติภาพ และต่อต้านสงครามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในทวีปยุโรป จนเมื่อเวลาผ่านไปทวีปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา ต่างเล็งเห็นความสำคัญของวันสตรีสากล จึงร่วมมือกันผลักดันในเรื่องสิทธิมนุษยชนของสตรีมากขึ้น เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน

          อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500) องค์การสหประชาชาติได้เข้ามามีบทบาทในการเชิญชวนให้ทุกประเทศในโลกกำหนดวันใดวันหนึ่งเป็นวันฉลองแห่งชาติว่าด้วยสิทธิของสตรีและสันติภาพสากล โดยให้พิจารณาตามขนบธรรมเนียมประเพณี และสภาพทางประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ ซึ่งมีหลายประเทศสนับสนุน และได้กำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากลเช่นกัน

          นอกจากนี้ยังมีการ ประกาศเกียรติคุณ ยกย่องสตรีที่ทำคุณประโยชน์ให้กับโลกทั้งที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือมีชีวิตอยู่ เช่น เจ้าหญิงไดอาน่า แห่งอังกฤษ, แม่ชีเทเรซา แห่งประเทศอินเดีย, ประธานาธิบดี เมกาวตี แห่งอินโดนีเซีย และนางอองซานซูจี ของพม่าที่พยายามเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประเทศ

8 มีนาคม วันสตรีสากล 2557


วันสตรีสากลในประเทศไทย

          ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะมุ่งให้เห็นความสำคัญของสุภาพสตรีเช่นกัน ดังนั้นในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2532 ประเทศไทยจึงได้ก่อตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.) ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของผู้หญิงในสังคม รวมทั้งระลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งความเสมอภาค ยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา นับตั้งแต่นั้นมาวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ประเทศไทยจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อฉลองเนื่องในวันสตรีสากลด้วย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดนิทรรศการต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จัก และเห็นความสำคัญของวันสตรีสากล

          อีกด้านหนึ่งก็ได้ จัดให้มีการประกาศเกียรติคุณแก่สตรีดีเด่นประจำปี เนื่องในวันสตรีสากล ทั้งนี้ก็เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ สตรีผู้สร้างประโยชน์ในสาขาอาชีพต่าง ๆ โดยผู้ที่เคยได้รับรางวัลดังกล่าว เช่น คุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์, สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, ปวีณา หงสกุล ฯลฯ 

          การถือกำเนิดของวันสตรีสากลนี้ เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นในการขจัดการแบ่งแยกและการเหยียดเพศให้หมดไป ดังจะเห็นได้ว่าโลกในยุคใหม่นี้ แต่ละแห่งให้ความสำคัญและยอมรับผู้หญิงมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงในปัจจุบันมีบทบาทอย่างแพร่หลายต่อการขับเคลื่อนของสังคม ดังนั้น "วันสตรีสากล" จึงเป็นอีกวันหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงทุกคนได้แสดงความสามารถ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความทัดเทียมกันได้อย่างดี

ขอบคุณแหล่งที่มาจาก : hilight.kapook.com/view/34520
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
  
lib.ru.ac.th
สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา 
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์