วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

ระวังให้ดี! เข้าห้องน้ำบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณบอกโรค


ระวังให้ดี! เข้าห้องน้ำบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณบอกโรค

คอลัมน์ คุยกับหมอพิณ
พ.ญ.พิณนภางค์ ศรีพหล
email:doctorpin111@gmail.com

ว่าปัสสาวะแค่ไหน ถึงเรียกว่าบ่อย
คนเราปัสสาวะประมาณ 4-8 ครั้งต่อวันค่ะ โดยที่ถ้าเกิน 12 ครั้ง นับว่าบ่อยไปและคนเราเวลานอนหลับไปแล้ว ก็ไม่ควรจะต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะยามค่ำคืนเกิน 1 ครั้ง
ดังนั้นในคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนนอน
ถ้าหลับไปแล้วต้องลุกงัวเงียขึ้นมาปัสสาวะมากกว่า 1 ครั้ง ก็ถือว่าผิดปกตินะคะ

โดยสาเหตุของการปัสสาวะบ่อย อาจเกิดจาก

- การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ : มักมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปวดหน่วงท้องน้อยร่วมด้วยค่ะ พบกันได้บ่อยนะคะ โดยเฉพาะคนที่ชอบกลั้นปัสสาวะ
- เบาหวาน : โดยจะมีอาการหิวน้ำบ่อย ร่วมกับปัสสาวะบ่อยค่ะ อาจมีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลดร่วมด้วย
- ตั้งครรภ์ : มดลูกที่ขนาดโตขึ้นจะไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะทำให้ปัสสาวะบ่อยได้
- ต่อมลูกหมากโต : โรคยอดฮิตของคุณผู้ชายสูงวัยทั้งหลาย เกิดจากต่อมลูกหมากมีขนาดโตขึ้นไปขัดขวางการเดินทางของปัสสาวะ ทำให้คุณผู้ชายมีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำบาก จะปัสสาวะแต่ละครั้งต้องเบ่ง ปัสสาวะก็ไหลเอื่อย ๆ ปัสสาวะเสร็จก็จะมีน้ำปัสสาวะหยดติ๋ง ๆ ตามมา รู้สึกปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะเพิ่งเสร็จก็รู้สึกปวดอีกแล้ว ถ้ามีอาการดังนี้รีบไปปรึกษาคุณหมอระบบทางเดินปัสสาวะเพศชายได้เลยนะคะ
- การรับประทานยาบางชนิด : เช่นยารักษาโรคความดันโลหิตสูง บางชนิดจะเป็นยาขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยได้ค่ะ
- มีโรคทางระบบของสมอง โรคหลอดเลือดสมอง
- โรคกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน : ในคุณผู้หญิง นอกจากจะปัสสาวะบ่อยแล้ว ยังมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ร่วมด้วย
- การดื่มกาแฟหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป
- เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน : ไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะจุน้ำปัสสาวะได้น้อยลง แป๊บ ๆ ก็ปวดปัสสาวะ

เห็นไหมคะว่า แค่ "อาการปัสสาวะบ่อย" ก็สามารถบ่งบอกถึงโรคที่ซ่อนอยู่ได้มากมาย

ดังนั้น อย่าลืมสังเกตตัวเราเองนะคะว่าปัสสาวะบ่อยผิดปกติหรือเปล่า
นอกจากสังเกตจำนวนครั้งที่ปัสสาวะแล้ว ควรสังเกตสีของปัสสาวะ ดูว่าเรากลั้นปัสสาวะได้ไหม เวลาไอจามมีปัสสาวะเล็ดออกมารึเปล่า หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่นะคะ

ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อยจริงอย่าลืมไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษานะคะสวัสดีค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน


เคล็ดลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน

1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)
2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง
3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง
4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว
5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย
7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ:การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร
8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ ( กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย
9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น
10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก
11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ
12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี
เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ ครับ...
ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์ แผนจีนแนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ..

 อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...

1. ไข่เยี่ยวม้า: ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลงกินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋: กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปน เปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย
3. เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง: ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู: ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง: ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมากทำให้เกิดการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป: บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

"อาบน้ำ" ด้วย 6 วิธีนี้ มันอาจจะทำให้คุณตายได้ไม่รู้ตัว!!

เตือนภัย. !!
ดูไว้เลย! ถ้าคุณ "อาบน้ำ" ด้วย 6 วิธีนี้ มันอาจจะทำให้คุณตายได้ไม่รู้ตัว!!


เว็บไซต์ต่างประเทศได้มีการเปิดเผยถึงเรื่องราวของ นายหลิว ชายผู้มีรูปร่างอ้วน อายุ 53 ปีวันที่ 1 ส.ค. เป็นวันที่อากาศมีอุณหภูมิประมาณ 38 องศา หลังจากเลิกงานกลับมาถึงบ้านพร้อมกับเหงื่อที่ท่วมตัว เขาจึงรีบถอดเสื้อผ้า ตักน้ำเย็นๆมาหนึ่งถึงแล้วเทราดลงมาตั้งแต่หัวถึงเท้า และในคืนนั้นเองนายหลิวเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของเขาทำงานไม่ปกติ แต่คนในครอบครัวต่างก็คิดว่าคงเป็นเพราะเขาตากแดดมาทั้งวันมั้งเลยอาจทำให้ไม่สบายเลยให้เขานอนพักผ่อนแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเขายิ่งเจ็บที่หน้าอกมากยิ่งขึ้น จึงต้องนำตัวส่งโรงพยาล หมอได้ตรวจพบว่านายหลิวมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตาย และหลอดเลือดอุดตัน หมอพยายามช่วยชีวิตแล้วแต่สุดท้ายนายหลิวก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
คุณหมอจึงได้อธิบายว่า น้ำเย็นเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดอุดตัน แม้ในวันที่มีอากาศร้อนมากก็เกิดได้ อาการกล้ามเนื้อหัวใจมักจะพบมากในฤดูหนาว แต่ฤดูร้อนก็มีโอกาสเป็นกันได้การกระตุ้นหรือการอาบน้ำด้วยความเย็นอย่างกระทันหันไม่เพียงแต่ทำให้หลอดเลือดในร่างกายมีการหดตัวแล้ว แต่ยังทำให้ความดันต่ำลงอีกด้วย ในบางครั้งอาจเป็นสาเหตุให้หลอดเลือดหัวใจตีบอย่างเฉียบพลันรุนแรง หลอดเลือดแตก หรือตัน ทำให้เกิดอาการหัวใจวายกระทันหัน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


6 พฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่เหมาะกับการอาบน้ำ

1. เมื่อความดันลดลงต่ำ
เพราะว่าเวลาอาบน้ำอุณหภูมิของน้ำมักจะสูงกว่าอุณหภูมิร่างกาย น้ำอุ่นๆจะไปทำให้หลอดเลือดขยายตัว คนที่มีอาการความดันต่ำจะมีอาการเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้หมดสติ
2.ผู้หญิงที่สุขภาพไม่แข็งแรง
ผู้หญิงที่สุขภาพไม่ดี ไม่ควรอาบน้ำเย็น เพราะภูมิต้านทานต่ำ เวลาไปโดนน้ำเย็นกระตุ้น อาจจะเป็นหวัดได้
3.หลังกินเหล้า
แอลกอฮอล์จะไปยับยั้งการทำงานของตับ ทำให้การปล่อยกลูโคสออกมาสู่กระแสเลือดน้อยลง แล้วเวลาอาบน้ำร่างกายจะต้องการกลูโคสมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นการอาบน้ำหลังกินเหล้า ปริมาณน้ำตาลในเลือดจะไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเวียนหัว หน้ามืดตาลาย ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง
4.ไม่ควรอาบน้ำทันทีหลังจากที่ร่างกายออกกำลังมาอย่างเต็มที่
ไม่ว่าจะเป็นหลังการออกกำลังทางร่างกายหรือสมองอย่างหนัก ร่างกายต้องการการพักผ่อนสักระยะก่อนการอาบน้ำ ไม่อย่างนั้นจะเป็นเหตุให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเป็นลมได้
5.เมื่อมีไข้
เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงถึง 38 ℃ ปริมาณการเผาผลาญความร้อนในร่างกายเพิ่มขึ้น 20% ในเวลานั้นร่างกายจะอ่อนแอ ซึ่งถ้าไปอาบน้ำอาจเกิดอันตรายได้
6.หลังรับประทานอาหารไม่ควรอาบน้ำทันที
หลังทานข้าว เลือดจะไปเลี้ยงระบบย่อยอาหารเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เต็มที่ ถ้าไปอาบน้ำเวลานี้ เลือดจะต้องแบ่งไปเลี้ยงส่วนอื่น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ เกิดอาการอาหารไม่ย่อยและอื่นๆ

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559

วันครู 2559

4740
เนื่องในวันครู ครั้งที่ 60 ในวันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2559 นี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญวันครู ไว้ดังนี้
“อนาคตก้าวไกล ด้วยครูดี มีคุณภาพ” ซึ่งมีความพิเศษกว่าทุกๆ ปี เนื่องจากส่วนใหญ่ในปีที่ผ่านๆ มา คำขวัญวันครู จะเป็นทางคุรุสภาจัดประกวดคำขวัญวันครู  ขึ้นเพื่อให้นักเรียนจากทั่วประเทศไทยส่งเข้าประกวดรับเงินรางวัล และรับโล่เกียรติยศ

คำขวัญวันครู 2559

วันครู
คำขวัญวันครู 2559 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ทีนเอ็มไทย ก็ขอฝากเพื่อนๆ น้องๆ ที่เรียนจบจากโรงเรียนแล้วหรือยังเรียนอยู่ อย่าลืมนำดอกกล้วยไม้กลับไปคาระวะคุณครูของเราด้วยนะคะ
ข้อมูลและภาพจาก morning-newsnews.mthai.com
ประวัติและความสำคัญวันครู วันครูในประเทศไทย มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 โดยระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลและให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา มีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครู ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวตามความเหมาะสม ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู

ด้วยเหตุนี้ในทุกปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามถึงปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัย การประชุมสมัยก่อนจะใช้สถานที่ หอประชุมสามัคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังย้ายมาใช้หอประชุมคุรุสภา

ต่อมา พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ในขณะนั้น กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณ เป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี สักวันหนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับ คนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละ ทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

จากแนวคิดดังกล่าว ประกอบกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อต่างๆ ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อเป็นวันของการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะ ผู้เสียสละ ทำความดี เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ จึงมีการเสนอและมีมติเห็นควรให้มีวันครู เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้

กิจกรรมวันครู
ทั้งนี้กิจกรรมวันครูจะมี 3 ประเภทหลักคือ
1.กิจกรรมทางศาสนา
2.พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3.กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

เรียบเรียงข้อมูลโดย Ch7 News Online
ขอขอบคุณข้อมูล th.wikipedia.org

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

วันการบินแห่งชาติ 13 มกราคม / Admin SD (Tonan Asia Autotech)


 วันการบินแห่งชาติ 13 มกราคมของทุกปี ว่าแต่วันนี้มีความสำคัญและประวัติอย่างไร วันนี้เรามีข้อมูลมาฝาก

          
หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า วันที่ 13 มกราคมของทุกปี คือวันการบินแห่งชาติ ซึ่งกิจการด้านการบินนั้นมีความสำคัญกับประเทศไทยไม่น้อยมาตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน กระปุกดอทคอม จะขอเล่าถึงที่มาที่ไปของวันการบินแห่งชาติให้เพื่อน ๆ ได้รับรู้ถึงความสำคัญของวันนี้  




ความเป็นมาของวันการบินแห่งชาติ

          ที่มาของวันการบินแห่งชาตินั้น เริ่มต้นมาจากปี พ.ศ. 2454 ที่ จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ถึงความจำเป็นและประโยชน์ของเครื่องบินที่ต้องมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ จึงมีคำสั่งให้นายทหาร 3 นาย คือ พลอากาศโทพระยาเฉลิมอากาศ, นาวาอากาศเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ และนาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต ไปเรียนวิชาการบินที่ประเทศฝรั่งเศส 

         
 ในระหว่างที่นายทหารทั้ง 3 นายเดินทางไปศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศสนั้น ทางการก็ได้สั่งซื้อเครื่องบินเป็นครั้งแรกจากฝรั่งเศส มาจำนวน 7 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินแบบเบรเกต์ปีก 2 ชั้น จำนวน 3 เครื่อง และเครื่องบินแบบนิเออปอร์ตปีกชั้นเดียว จำนวน 4 เครื่อง เข้าไว้ประจำการ นอกจากนี้ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ยังได้อุทิศทรัพย์ส่วนตัว ซื้อเครื่องบินแบบเบรเกต์ให้ราชการไว้ใช้งานอีก 1 เครื่อง ด้วยเห็นว่าเครื่องบินสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางราชการได้ ทำให้ในยุคแรก ประเทศไทยมีเครื่องบินประจำการ จำนวน 8 เครื่อง



เครื่องบินแบบเบรเกต์ปีก ชั้น รุ่นแรก


เครื่องบินแบบนิเออปอร์ตปีกชั้นเดียว รุ่นแรก

          หลังสำเร็จการศึกษานายทหาร นักบินทั้ง 3 นาย ได้กลับมาทดลองบินครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2456 ซึ่งนายทหารนักบินทั้ง 3 นาย สามารถขับเครื่องบินและร่อนลงจอดได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางเสียงชื่นชมของผู้ชมจำนวนมากที่มารอชม เนื่องจากในสมัยนั้น การขึ้นบินบนท้องฟ้าถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง ผู้ที่สามารถขับเครื่องบินได้จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กล้าหาญ และถือเป็นเกียรติประวัติที่ควรได้รับการสรรเสริญ

          
ในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาแผนกการบินขึ้นในกระทรวงกลาโหม เป็นผลให้กิจการการบินไทยได้รับการพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ จากนั้น ในวันที่ 13 มกราคม 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จทอดพระเนตรการบิน โดยมีนายทหารนักบินขึ้นแสดงการบินถวายและโปรยกระดาษถวายพระพรชัยมงคล ในการนี้ก็มีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการ และประชาชนมาร่วมเฝ้าเสด็จและชมการแสดงการบินในครั้งนี้ด้วย 

          ในอดีตกิจการบินของไทยได้เจริญก้าวหน้าถึงขั้นสามารถสร้างอากาศยานใช้ในราชการได้ และหลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 การบินของไทยก็ได้ช่วยสร้างประโยชน์มากมาย อาทิ เช่น ป้องกันประเทศ (สงครามอินโดจีน ฯลฯ) ช่วยเหลือผู้ป่วย, ช่วยเหลือประชาชนเมื่อประสบภัยพิบัติ (โรคระบาด อุทกภัย ฯลฯ) และช่วยทำให้เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม การเดินทาง ขนส่งไปรษณีย์ และสินค้าได้รวดเร็วจนพัฒนามาเป็นสายการบินระหว่างประเทศ 



          นับได้ว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ริเริ่มและมีสายพระเนตรยาวไกลต่อกิจการการบิน กระทั่งด้รับการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ขอให้กำหนดวันการบินแห่งชาติขึ้น เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อกิจการการบินของชาติ

          กระทั่ง ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ 13 มกราคมของทุกปีเป็นวันการบินแห่งชาติ โดยเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และในวันนี้ได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงประวัติความเป็นมาของการบินไทย และคุณประโยชน์ของกิจการการบิน

 รู้จักกับนายทหารนักบินรุ่นแรก




 พลอากาศโทพระยาเฉลิมอากาศ (บุพการีทหารอากาศ 1)

          เกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อเดิมคือ สุนี สุวรรณประทีป สมัยที่ดำรงยศ นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ได้รับคัดเลือกให้ไปเรียนวิชาการบินที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2554 และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายพันโท ขณะเข้ารับการศึกษาวิชาการบิน เมื่อปี พ.ศ.2456 ถือเป็นคนไทยคนแรกที่เข้าศึกษาวิชาการบินในโรงเรียนการบิน วิลลาคูเบลย์

          เมื่อศึกษาวิชาการบินในโรงเรียนจบ ก็ได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนการบินชั้นสูงของกองทัพบกฝรั่งเศส กระทั่งสามารถสอบได้รับประกาศนียบัตรนักบินรบซึ่งเป็นชั้นสูงสุด หลังสำเร็จการศึกษาแล้วจึงเดินทางกลับประเทศไทย และเข้ารับราชการในกรมจเรทหารช่างโดยรับผิดชอบด้านการบิน ณ สนามม้าสระปทุม 

          เมื่อกระทรวงกลาโหมได้จัดตั้งกองบินทหารบกขึ้นในปี 2457 นายพันโทหลวงศักดิ์ศัลยาวุธ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับการกองบินทหารบกคนแรกของประเทศไทย และเป็นผู้ที่นำกำลังพลของไทยไปเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศฝรั่งเศส จนได้รับชัยชนะร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมอากาศยานทหารบกคนแรก และได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น "พระยาเฉลิมอากาศ" ในปี 2463 



นาวาอากาศเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ (บุพการีทหารอากาศ 2)
 
          เกิดที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ชื่อเดิมคือ หลง สินศุข เป็นบุตรของพระยาภาณุพันธุวรเดช และคุณหญิงภาณุพันธ์ (เพียน) สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษ และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมัยที่มียศเป็น นายร้อยเอก หลวงอาวุธสิขิกร รั้งตำแหน่งผู้บังคับกองพันพิเศษ กองพลที่ 5 ได้รับเลือกให้เดินทางไปศึกษาการบินที่ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะได้รับการเลื่อนยศให้เป็น นายพันตรี เมื่อปี พ.ศ.2455 ขณะเข้ารับการศึกษาวิชาการบิน

          นายพันตรีหลวงอาวุธสิขิกรได้ศึกษาวิชาการบิน และยังได้เรียนรู้การซ่อมเครื่องบิน กระทั่งในปี 2456 ก็สำเร็จการศึกษาวิชาการบินตามหลักสูตรของสโมสรการบินฝรั่งเศส และเดินทางกลับประเทศไทยในปีเดียวกัน โดยกลับมาเข้ารับราชการในกรมจเรทหารช่าง รับผิดชอบด้านการบิน ณ สนามม้าสระปทุม

          เมื่อมีการตั้งกองบินทหารบกขึ้น นายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยบังคับการ จากนั้นอีก 4 ปีให้หลัง ก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงานของกรมอากาศยานทหารบกเป็นท่านแรก และได้รับแต่งตั้งให้เป็น นายพันเอก พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ ในปี 2467 

          จากนั้น ในปี 2475 นายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร ได้เข้ารับตำแหน่งเจ้ากรมอากาศยานต่อจากนายพลตรีพระยาเฉลิมอากาศ และได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น "นาวาอากาศเอกพระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์" เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2491





นาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต (บุพการีทหารอากาศ 3)

          เกิดที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ชื่อเดิมคือ ทิพย์ เกตุทัต ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 3 นายทหารให้ไปเรียนวิชาการบินที่ประเทศฝรั่งเศสขณะที่มียศเป็นร้อยโท และได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายร้อยเอก ขณะกำลังศึกษา

          ทั้งนี้ แม้ว่าในระหว่างเข้ารับการศึกษา นายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต จะประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกจนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็พักรักษาตัวจนสามารถกลับมาศึกษาต่อได้จนสำเร็จวิชาการบิน ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทยในปี 2456 จากนั้น เข้ารับราชการในกรมจเรทหารช่าง โดยรับผิดชอบด้านการบิน ณ สนามม้าสระปทุม (ราชกรีฑาสโมสร) 

          นายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้บังคับการกองบินทหารบก ร่วมกับนายพันตรี หลวงอาวุธสิขิกร หลังจากกระทรวงกลาโหมได้ก่อตั้งกองการบินทหารบกขึ้น ต่อมา นายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัต ได้ประดิษฐ์ "หีบเครื่องเขียนใบแจ้งเหตุแบบเกตุทัต พ.ศ.๒๔๕๘" ขึ้น เพื่อไว้ใช้ส่งข่าวจากเครื่องบิน จึงได้รับการยกย่องจากกระทรวงกลาโหม

          ในปี 2461 นายร้อยเอก ทิพย์ เกตุทัพ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับการกองบิน กรมอากาศยานทหารบก และเลื่อนยศเป็นนายพันตรี จากนั้น หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ เป็นผู้บังคับการกองบินทหารบก กองทหารอาสา ในครั้งที่ไปราชการสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกรมอากาศยาน เป็นผู้อำนวยการกองโรงงานอากาศยาน กระทั่งในปี 2479 ได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นนายนาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต

          
โดยทั้ง 3 ท่าน ได้รับการยกย่องให้เป็นบุพการีของกองทัพอากาศ ในฐานะที่ได้รับคัดเลือกให้ไปศึกษาวิชาการบินเป็นกลุ่มแรกของประเทศไทย และได้นำวิชาความรู้ที่ได้รับมาช่วยพัฒนากิจการการบินของชาติได้เจริญก้าวหน้าเรื่อยมา
 
          
และนี่ก็คือเรื่องราวความเป็นมาของกิจการการบินของประเทศไทย นำมาซึ่งการกำหนดให้วันที่ 13 มกราคมของทุกปี เป็น "วันการบินแห่งชาติ" 

ภาพจาก 
สำนักกองบัญชาการ กองบัญชาการกองทัพไทยองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
สำนักกองบัญชาการ กองบัญชาการกองทัพไทย
องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : http://hilight.kapook.com/view/96074

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

จริงหรือไม่? กินอาหารร้อน อาจทำให้เป็นมะเร็งหลอดอาหาร


จริงหรือไม่? กินอาหารร้อน อาจทำให้เป็นมะเร็งหลอดอาหาร
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหลอดอาหาร

- ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
- บริโภคอาหารบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น อาหารที่มีสารไนโตรไซ หรือไนโตรซามีน เช่น อาหารประเภทเนื้อ อาหารที่ใส่สารกันบูด อาหารประเภทย่าง หรือเครื่องปรุงรสอย่าง พริก และพริกไทย
- เป็นผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนเรื้อรัง ทำให้เยื่อบุภายในหลอดอาหารเกิดอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เซลล์ผิดปกติจนเกิดเป็นมะเร็งได้
- ติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในหลอดอาหาร
- เกิดการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุหลอดอาหารอย่างรุนแรง จากการกระทำ เช่น กลืนน้ำยาล้างห้องน้ำ กลืนน้ำกรด น้ำด่าง
- รับประทานอาหารที่มีผัก ผลไม้ และแร่ธาตุต่ำ
- อยู่ในภาวะอ้วน
และอื่นๆ

อาการของมะเร็งหลอดเลือดอาหาร
1. เริ่มทานอาหารแข็งแล้วรู้สึกฝืดคอ กลืนไม่ค่อยลง เช่น ไก่ย่าง หมูทอด ผลไม้ต่างๆ
2. เริ่มรู้สึกลำบากในการกลืนอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารแข็ง หรือเหลว
3. อาจจะกลืนอะไรไม่ค่อยลง จนทำให้ต้องขย้อน หรืออาเจียนออกมา
4. ทานอะไรไม่ลง น้ำหนักเริ่มลด ร่างกายซูบผอม อ่อนเพลีย เพราะขาดอาหาร
5. อาจมีอาการข้างเคียงเพิ่มเติม เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดหัว แน่นหน้าอก คลื่นไส้ ไอ หรือเจ็บบริเวณกระดูกหน้าอก หรือในลำคอ เป็นต้น

ดังนั้น การรับประทานของร้อน อาจจะไม่ถึงกับทำให้หลอดอาหารบาดเจ็บจนเป็นแผล แต่อย่างไรก็ตามหากอาหารร้อนเกินไป อาจทำให้เนื้อเยื่อบริเวณปากบาดเจ็บ จนเป็นแผลได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะรับประทานอาหารที่มีความร้อนเหมาะสม ไม่ลวกปากลวกลิ้นจนพองกันบ่อยๆ ดีกว่าค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจาก haamor.com 
ภาพประกอบจาก istockphoto

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

วันเด็กแห่งชาติ ปี 2559 / Admin SD (Tonan Asia Autotech)




             ทุกวันเสาร์ที่สองของเดือน หลังจากที่มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่แล้ว ต่อไปก็ต้องคราวที่เด็กๆ จะได้มีความสุขในวันของพวกเขาบ้าง เพราะทุกคนย่อมเคยผ่านชีวิตในวันเด็กมาแล้ว และอาจจะเคยผ่านกิจกรรมในวันเด็กมาด้วย เชื่อว่าหากคุณมีความสุขในวันเด็กอย่างไร ลูกๆ หลานๆ ก็ต้องมีความสุขในวันเด็ก ของทุกๆปีแน่นอน ซึ่งแม้จะจัดเพียงปีละครั้ง แต่การที่เด็กๆ ได้มีวันหยุดแห่งความสุขของตัวเอง ย่อมทำให้เกิดผลดี และอาจเป็นแนวทางที่ชี้ให้พวกเขาเหล่านั้นเห็นสิ่งดีๆ และจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตต่อไปได้

ความหมายวันเด็ก

เด็ก หมายถึง คนที่มีอายุยังน้อย ตั้งแต่แรกเกิดจนกว่าจะถึงอายุ 14 ปี ซึ่งคำนำที่ใช้เรียกก็คือ เด็กชาย ,เด็กหญิง เป็นคำนำเรียกเด็กๆ ที่มีอายุไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์ แต่วันเด็กหมายถึง วันที่มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นเพื่อเด็กๆ ทำให้เด็กๆได้เรียนรู้ ได้มีกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้เกิดความสุข

วันเด็กของประเทศไทย

วันเด็กของประเทศไทยจะตรงกับวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมทุก ซึ่งแต่ละปีเด็กๆ จะได้คำขวัญจากนายกรัฐมนตรีของไทย แต่ละปี คำขวัญวันเด็กก็จะแตกต่างกัน ก่อนหน้านั้นประเทศไทยมีการจัดงานวันเด็กครั้งแรกวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2498
โดยใช้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม เป็นวันเด็กแห่งชาติ ของทุกๆปี ต่อมาในปี พ.ศ.2506 วันเด็กแห่งชาติ ได้เปลี่ยนมาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม โดยเริ่มครั้งแรกในปี พ.ศ.2508 จนถึงปัจจุบัน

วันเด็กต่างประเทศ

สมัยก่อนได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกี่ยวกับเด็กทำให้ องค์การสหประชาชาติทำให้ทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และคิดว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็ก ๆ มากขึ้น ซึ่งทำให้หลายประเทศต่างยอมรับและในปี 2498ทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศต่างก็จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของประเทศตนขึ้น โดยกำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ

วันที่ใช้จัดงานกิจกรรมวันเด็ก

วันเด็กแห่งชาติ ที่ใช้จัดกิจกรรม จะไม่มีวันที่ตายตัว แต่จะใช้ วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมทุกๆปี ในการจัดงานและจัดกิจกรรมวันเด็ก เพื่อให้เด็กๆได้มีวันแห่งความสุขอีกหนึ่งวันเต็มๆ 

ปฏิทินวันเด็ก

วันเด็ก พ.ศ.2550 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2550 / วันเสาร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีจอ
วันเด็ก พ.ศ.2551 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2551 / วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีกุน
วันเด็ก พ.ศ.2552 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ.2552 / วันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีชวด
วันเด็ก พ.ศ.2553 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ.2553 / วันเสาร์ แรม ๙ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีฉลู
วันเด็ก พ.ศ.2554 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ.2554 / วันเสาร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีขาล
วันเด็ก พ.ศ.2555 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2555 / วันเสาร์ แรม ๖ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีเถาะ
วันเด็ก พ.ศ.2556 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ.2556 / วันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีมะโรง
วันเด็ก พ.ศ.2557 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ.2557 / วันเสาร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีมะเส็ง
วันเด็ก พ.ศ.2558 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ.2558 / วันเสาร์ แรม ๖ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีมะเมีย
วันเด็ก พ.ศ.2559 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ.2559 / วันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีมะแม
วันเด็ก พ.ศ.2560 ตรงกับ วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2560 / วันเสาร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่(๒) ปีวอก

ประวัติวันเด็ก

ทั่วโลกเริ่มฉลองงานวันเด็กแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2498 ตามความเห็นขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งทางประเทศไทยก็ได้รับข้อเสนอให้มีส่วนร่วมในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมา เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญของเด็กๆ มากขึ้น อย่างที่นานาประเทศกำลังทำอยู่ โดยนายวี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศได้ติดต่อผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย และประเทศไทยก็ได้รับข้อเสนอและเตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น

ในที่สุดที่ประชุมได้เห็นชอบเรื่องการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ จึงได้นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2498 ได้มีมติคณะรัฐมนตรีรับหลักการจากที่ประชุมให้มีจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาด ไทย และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการ ซึ่งกองสลากกินแบ่งรัฐบาลได้อนุมัติเงินส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดงาน จากการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม โดยคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ

ประเทศไทยมีงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2498 ซึ่งต่อมาทางราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ และจัดติดต่อกันมาจนถึงปี พ.ศ.2506 เกิดปัญหาเกี่ยวกับการจัดงานวันเด็ก เพราะในประเทศไทยเดือนตุลาคมยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมากเด็ก ๆ ไม่สะดวกในการมาร่วมงาน อีกอย่าง วันจันทร์เป็นวันทำงานของผู้ปกครอง ทำให้ไม่สามารถพาเด็กๆไปร่วมงานได้ และวันจันทร์เป็นวันที่มีการจราจรก็ติดขัดมาก ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ซึ่งมีความเหมาะสมและสะดวกสบายขึ้น

ทางคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสนอ จึงได้ประกาศเปลี่ยนงานฉลองวันเด็กแห่งชาติจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม มาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา งานวันเด็กแห่งชาติได้เริ่มจัดขึ้นมาใหม่อีกครั้งใน พ.ศ.2508 จนถึงปัจจุบัน

กิจกรรมที่นิยมทำในวันเด็ก

การจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติของแต่ละประเทศ ได้ยึดหลักการให้ความสำคัญแก่ โดยเปิดสถานที่ราชการที่สำคัญเช่น รัฐสภา พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ ให้เด็ก ๆได้เข้าชมและศึกษา บางแห่งจัดการการแสดงต่างๆ แสดงมหรสพ มีการแจกอาหาร แข่งขันเกม แจกของขวัญ ฯลฯ ซึ่งตามสถานศึกษาก็จะมีกิจกรรมให้เด็กๆได้ร่วมสนุกกันทั่วประเทศ รวมถึงการที่ผู้ปกครองได้พาเด็กๆท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง ซึ่งแต่ละที่จะกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสุขให้กับเด็กๆนั่นเอง

รัฐสภา

เพราะรัฐสภาเป็นที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง ทุกๆปี จะได้รับความสนใจจากผู้ปกครองและเด็กๆอย่างมาก เพราะจะเปิดให้เด็กๆ ได้เข้าไปนั่งเก้าอี้นายกทางสำนักงานเลขาธิการทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ร่วมมือจัด งานฉลองวันเด็กแห่งชาติ อย่างการเปิด หอแห่งความหวัง เพื่อให้เด็ก ๆ มีโอกาสได้แสดงความเห็นเรื่องการปฏิรูปประเทศไทย พร้อมกิจกรรมเวทีดนตรีและการแสดง โดยมีศิลปิน ดารานักแสดงร่วมให้ความสุขแก่เด็ก มีการจัดซุ้มกิจกรรมต่าง ๆ พร้อมของรางวัลจำนวนมากเพื่อให้เด็ก ๆ ที่มาร่วมงานได้ร่วมสนุกและรับของรางวัล

ท้องฟ้าจำลอง

ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ที่มักจะมีเด็กๆ ไปเที่ยวเป็นประจำทุกปี เพราะเป็นสถานที่จำลอง โลก และดวงดาวต่างๆ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นที่ท้องฟ้าจำลอง โดยแต่ละปีจะเน้นธีมที่แตกต่างกันออกไป เพื่อสร้างความหลากหลาย ให้กับเด็กๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ปกครองและเด็กๆ ที่ไปร่วมงาน

สวนสัตว์

เป็นอีกหนึ่งสถานที่ แม้จะไม่ได้มีการจัดงานเหมือนที่อื่นๆ หรือ แต่การที่ผู้ปกครองได้พาเด็กๆ มาเที่ยวสวนสัตว์เพื่อเปิดหูเปิดตา ได้ชมสารพัดสัตว์ในวันเด็ก ทำให้ได้เห็นโลกกว้างขึ้น ได้เห็นสัตว์ของจริง นอกจากนี้ยังมีการแสดงสัตว์แสนรู้ ที่จะสร้างความเพลิดเพลินให้กับเด็กๆอีกด้วย ซึ่ง

และสถานที่ต่างๆ จะมีกิจกรรมที่ทำเพื่อเด็กๆ ทุกๆปี อย่าง การประปานครหลวงภายในงานมีการละเล่นสนุกสนาน เกมชิงรางวัลมากมาย เปิดเวทีให้เด็ก ๆ แสดงความสามารถด้านการร้องเพลงกับวงดนตรี พร้อมบริการอาหาร และเครื่องดื่มฟรีตลอดงาน ส่วนใครที่ชอบศิลปะหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ก็เชิญชวนเด็ก ๆ มาร่วมท่องโลกศิลปะไปกับกิจกรรมสร้างสรรค์วันเด็กสไตล์หอศิลปกรุงเทพฯ ส่วนพิพิธภัณฑ์เด็ก เป็นศูนย์กิจกรรมที่ใหญ่มากสำหรับเด็กๆ ภายในจะมีถ้ำไดโนเสาร์ให้เด็กๆได้เรียนรู้สัตว์ในดึกดำบรรพ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ และความไฮเทค ต่างๆ ทำให้เด็กๆได้เพลิดเพลินกันในวันเด็กของทุกปี

การที่เด็กๆ ได้มีโอกาสออกไปร่วมกิจกรรมในงานวันเด็กกับเพื่อนๆ โดยมีผู้ปกครองพาไป ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะการทำกิจกรรมวันเด็ก เป็นการส่งเสริมให้เด็กๆได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ กับคนอื่นๆ ให้รู้จัก การให้อภัย การเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน และความรับผิดชอบ ซึ่งส่วนใหญ่พ่อแม่มักจะสอนลูกเสมอว่าอยากให้ลูกทุกคนเป็นเด็กดี แต่ก็ยังมีเด็กอีกหลายๆ คนที่เป็นเด็กดื้อและไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ หน้าที่ของเด็กดีมีอะไรบ้างและอะไรที่ไม่ควรทำบ้าง

แนวทางการส่งเสริมกิจกรรมวันเด็ก

เพราะการให้ความสำคัญกับเด็กๆ เป็นสิ่งที่ดี การปลูกฝังให้เป็นคนดี ด้วยการนำเสนอและสนับสนุนให้ทำแต่สิ่งดีๆ ตั้งแต่เด็กๆ ทำให้พวกเขารักที่จะเรียนรู้ และจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดดี และทำดีต่อไป

ให้เด็กๆเข้าร่วมกิจกรรมวันเด็ก

การที่เด็กๆได้เข้าร่วมกิจกรรมวันเด็ก ที่หน่วยงานต่างๆ จัดขึ้นทุกปี จะทำให้เด็กได้ตระหนักถึงคุณค่าบทบาท และความสำคัญของตนเอง แนวทางการดำเนินชีวิตที่ดี และมีผู้ปกครองที่ดีเป็นแบบอย่าง การได้ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือพาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมข้างนอก ได้เห็นมุมมองโลกที่กว้างขึ้น อาจจะทำให้เด็กๆ มีความคิดที่ดีขึ้น และมีความสุขที่ได้ทำอะไรดีๆ ในวันของพวกเขา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น ในโรงเรียน หมู่บ้าน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ก็ควรจะสนับสนุน ให้ออกไปเจอเพื่อนๆ และร่วมทำกิจกรรม ดีกว่า

รู้ถึงความสำคัญของตน

การที่รัฐบาลได้จัดให้มี การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศ ได้รู้ถึงบทบาทและความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม และมีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งการได้ออกไปร่วมกิจกรรมต่างๆ จะทำให้เด็กๆ มีความกล้าแสดงออก และเข้าสังคมใหม่ๆ ได้อย่างมั่นใจ และรู้จักเอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ซึ่งจะแสดงถึงการมีความรับผิดชอบต่อไปเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่

แนวทางสร้างเด็กดี

พ่อแม่ควรแสดงความรักต่อลูก เพื่อพัฒนาให้ลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเอง เด็กทุกคนต้องการเป็นบุคคลสำคัญอยากให้พ่อแม่รัก พ่อแม่ชม การเริ่มจากทัศนคติของพ่อแม่ที่มีต่อตัวเองเป็นพื้นฐาน จะมีผลต่อการมองเห็นคุณค่าในตนเองของลูกด้วย เพราะพ่อแม่ที่เห็นคุณค่าในตนเองจะส่งผ่านความรู้สึกนี้ให้กับลูกๆของพวกเขา ทั้งพ่อและแม่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นในชีวิตของลูก ให้ลูกๆมีส่วนร่วมรับผิดชอบ และควรกล่าวชมเชยเด็กเมื่อพวกเขาทำเสร็จเรียบร้อย แม้จะเป็นงานเพียงเล็กน้อยก็ตามคำชมเชยเป็นเสมือนสิ่งที่ช่วยผลักดันให้เขารู้จักพึ่งตนเองในเรื่องอื่นๆ ที่มีความสำคัญมากขึ้นและมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น

เด็กต้องการความรัก การที่พ่อแม่แสดงออกถึงความรักที่มีต่อลูก เช่น การสัมผัส การโอบกอด การบอกรักลูกๆทำให้เด็กๆ มีความมั่นคงในชีวิต และจะสอนให้เด็กเรียนรู้ที่จะรัก ห่วงใยในผู้อื่นเช่นเดียวกัน ธรรมชาติส่วนลึกที่สุดของมนุษย์คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นยอมรับ พ่อแม่ควรกล่าวชมเชยเด็ก หรือเมื่อเขาทำความดีและแสดงความมีน้ำใจ หรือเมื่อพวกเขาริเริ่มทำสิ่งที่มีคุณค่าด้วยตนเอง


ขอขอบคุณแหล่งที่มา http://www.myhora.com/ปฎิทิน/วันเด็ก.aspx

ตับที่รักของคุณ



I have never known exactly what the Liver does.
ฉันไม่เคยรู้ชัดเจนเลยว่า "ตับ" มีหน้าที่อะไร
Very informative.
เป็นเรื่องให้ความรู้ดีมาก
Some interesting facts about our Liver
ความจริงบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับ "ตับ"

หวัดดี...ฉันคือ ตับ ของคุณ
ให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด 9 ข้อ

1. ฉันสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ
หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป

2. ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารของคุณ
หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่

3. ฉันทำหน้าที่ล้างพิษสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน หมายรวมถึง แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์) รวมทั้งบรรดาสารผิดกฏหมายทั้งหลาย
หากไม่มีฉันแล้ว นิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว

4. ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท,กลูโคส และ ไขมัน)ไว้ให้จนกระทั่งคุณต้องการมัน
หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับเข้าขั้นโคม่าไป

5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก
หากไม่มีฉันแล้ว ก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่

6. ฉันผลิตโปรตีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมีสุขภาพดีและเจริญเติบโต
หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างเหมาะสม

7. ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป
หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลพิษเหล่านั้น

8. ฉันผลิตสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด
หากไม่มีฉันแล้ว คุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด

9. ฉันคอยต่อสู้ป้องกันตลอดเวลาไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด, ไข้หวัดใหญ่
หรือเชื้ออะไรก็ตาม ฉันจะกำจัดมันให้สิ้น หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง
หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี

ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน.... แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม ?
ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะรักฉัน , ตับของคุณ

1.อย่าให้ฉันต้องจ่อมจมลงในเหล้า, เบียร์ หรือ ไวน์
สำหรับบางคนแล้ว เพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลไปตลอดชีวิต

2.จงระวังบรรดา "ยา" ทั้งหลาย ยาทุกอย่างเป็นสารเคมี และเมื่อคุณกินผสมปนเปกันเข้าไป โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ มันอาจกลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างสาหัส ฉันเป็นแผลง่าย และเมื่อเป็นแล้ว ก็จะเป็นแผลถาวร
บางครั้ง ยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่การกินยาเมื่อยังไม่มีความจำเป็น จะเป็นนิสัยไม่ดี
บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้อย่างแท้จริง

3.จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย
จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเข้าไปด้วย
ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์
ต้องแน่ใจว่าอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือ ก็ต้องสวมหน้ากาก
อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง, ฆ่าเชื้อรา, สี และสารเคมี
จงระวังว่าสิ่งที่คุณหายใจเข้าไป

4.จงระวังสิ่งที่มาโดนผิวหนังของคุณ ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดใส่ต้นไม้ และพุ่มไม้นั้น
ไม่เพียงแต่ฆ่าแมลง แต่สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโทำลายเซลล์ของฉันได้ด้วย
จงจำไว้ว่าสเปรย์พวกนี้เป็นสารเคมีปกป้องผิวหนังของคุณโดยการสวมถุงมือ, ใส่เสื้อแขนยาว, สวมหมวก และหน้ากากทุกครั้ง ที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง

5.คำเตือน
ฉันไม่สามารถ และ จะไม่บอกคุณว่าฉันกำลังลำบาก จนกว่าจะเกือบสุดสายป่านของฉัน ... และของคุณ จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น
การเพิ่ม เหล้า ยา, และ บรรดาขยะอื่น ๆให้ฉันจนล้นเกิน
สามารถทำลายฉันได้! นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ

6.จงรับฟังคำแนะนำของฉัน
พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ
การตรวจเลือด สามารถจะบอกปัญหาบางอย่างได้
ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และราบเรียบ แสดงว่าฉันยังใช้ได้ดีอยู่ หากมิใช่เช่นนั้นอาจหมายถึงเป็นเรื่องเดือดร้อน
หากคุณหมอสงสัยว่าจะเป็นเรื่องเดือดร้อน ก็สามารถจะตรวจดูด้วยการทำอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน อายุของฉัน เท่ากับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันอย่างไร

คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่าฉันแคร์คุณมากแค่ไหน
ได้โปรดปฏิบัติกับฉันด้วยความรักละมุน
จาก หุ้นส่วนเงียบและคู่รักตลอดกาลของคุณ
(ลงชื่อ).....ตับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
http://lib.edu.chula.ac.th/cuappl/libedu2007/lib_talk/aspboard_Question.asp?GID=153

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

25 ข้อดีครอบจักรวาลของกากกาแฟ ที่บอกเลยว่าเด็ด !


25 ข้อดีครอบจักรวาลของกากกาแฟ ที่บอกเลยว่าเด็ด !

ประโยชน์สุดทึ่งที่ต้องอึ้งกันไปเลยทีเดียว กับกากกาแฟเหลือ ๆ ที่ดูไม่มีความหมาย แต่หารู้ไม่ว่านำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำเราได้ครอบคลุมเลยล่ะ

คุณค่ากาแฟไม่ได้อยู่ที่กลิ่น สายพันธุ์ รสชาติ หรือต้านทานความง่วงได้มากน้อยแค่ไหน แต่ความมหัศจรรย์ของกากกาแฟที่ขึ้นชื่อว่า "กาก" กลับไม่กากอย่างที่คิดนะจะบอกให้ เพราะถึงแม้เป็นแค่ของเหลือไร้ค่าหลังจากการกลั่นน้ำกาแฟออกไปดื่ม ขอให้หยุดความคิดที่จะโยนมันทิ้งซะดีกว่า เพราะว่ามันมีประโยชน์มากมายเกินกว่าที่หลายคนจะคาดถึงเลยทีเดียว ส่วนจะมีอะไรบ้างวันนี้เรามีข้อมูลน่าสนใจมาฝากกันค่ะ

1. เปลี่ยนดอกไม้ให้กลายเป็นสีฟ้า
ดอกไม้บางชนิดสามารถเปลี่ยนสีได้ เมื่อค่า pH ในดินเปลี่ยนแปลง ถ้าโรยกากกาแฟไว้ที่ดินกากจะไปลดค่า pH ในดินให้ต่ำลง แล้วเรื่องน่าทึ่งก็เกิดขึ้น เมื่อดอกไม้กลายเป็นสีฟ้าไปโดยปริยาย

2. ไล่หอยทากให้ไกลหูไกลตา
สัตว์ที่มีผิวหนังเป็นเมือก ๆ นุ่มนิ่มอย่าง หอยทาก ไส้เดือน และแมลงบางชนิด มักไม่ชอบความเป็นกรดที่อยู่ในกาแฟ ให้เอากากกาแฟไปโรยตรงที่คิดว่าเป็นทางเดินของมัน ยิ่งเป็นกาแฟชวายิ่งเจ๋งไปเลย รับรองไม่กล้ามายุ่งอีก

3. เป็นปุ๋ยเห็ดก็งามแท้
อยากมีเห็ดงาม ๆ เอาไว้กินเองเพื่อสุขภาพ ให้ไปหาหัวเชื้อเห็ดชนิดที่เราต้องการมาฝั่งในกากกาแฟ จะทำให้เห็ดออกดอกใบใหญ่และสวยงามตามที่อยากได้

4. เพิ่มผลผลิตแครอทได้เพียบ
ก่อนจะลงเมล็ดปลูกแครอท เอากากกาแฟมาคลุกเคล้ากับเมล็ดแล้วปลูก นอกจากจะเพิ่มผลผลิตไปแล้ว กลิ่นของกากกาแฟยังช่วยป้องกันไม่ให้สุนัขและแมวน้อยเข้ามากัดกินต้นที่เราปลูกด้วย

5. เรียกหนอนไส้เดือนมาเยือนแปลงปลูก
หนอนไส้เดือนมีประโยชน์มาต่อต้นไม้ เพราะมันจะเข้าไปซอกซอนดิน คล้ายกับว่าเป็นการพรวนดินไปในตัว หากแปลงดอกไม้หรือต้นไม้ใครไม่มีไส้เดือน แนะนำให้เอากากกาแฟมาโรย ด้วยกลิ่นและลักษณะสามารถเรียกหนอนไส้เดือนได้

6. เพิ่มพลังให้ปุ๋ยหมัก
ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบปุ๋ยหมักแบบเกษตรอินทรีย์ ลงมือหมักเองทุกขั้นตอน อย่าลืมใส่กากกาแฟลงไปหมักด้วยทุกครั้ง จะช่วยให้ต้นไม้ยิ่งงามเข้าไปใหญ่

7. เลี่ยงน้องแมวให้ห่างสวนดอกไม้
สัตว์เลี้ยงอย่างน้องแมวที่น่ารัก มักจะไม่ชอบกลิ่นกาแฟหอม ๆ ในเมื่อน้องแมวสุดที่รักชอบไปเล่นต้นไม้ที่แปลงจนเสียหาย ก็ให้เอากากกาแฟผสมกับเปลือกส้มแล้วโรยไว้รอบ ๆ แปลงต้นไม้ หรือที่ที่ไม่อยากให้เขาเข้าไป

8. ดอกไม้ในแจกันก็สดชื่นได้ด้วยกากกาแฟ
เทน้ำในแจกันดอกไม้ออกแล้วใส่ดินที่ผสมกากกาแฟลงไปแทน ดอกไม้ก็จะสดชื่นสดใสยืดอายุไขไปได้อีกนาน แถมบรรยากาศในบ้านก็จะสดชื่นไร้กลิ่นอับอีกต่อไป

9. ไล่มดให้ไกลห่างทางตู้กับข้าว
ตู้กับข้าวบ้านใครที่เจอมดบุกรุก จะให้เอาน้ำมารองขาตู้ก็กลัวยุงมาวางไข่ ลองนำกากกาแฟทาที่ขาตู้ เท่านี้มดเจ้าปัญหาก็ไม่กล้ามายุ่งยากแน่นอน

10. ยัดไส้ในหมอนปักเข็มกันสนิม
รักงานฝีมือแต่ต้องประหยัด งั้นก็ไม่ต้องควักเงินจ่ายค่าหมอนปักเข็มไปด้วยสิ เพราะแค่เราหาผ้ามาเย็บเป็นปลอกหมอน หรือจะถัดไหมพรมเป็นรูปที่ชอบแล้วยัดกากกาแฟเข้าไปข้างใน ก็จะช่วยป้องกันสนิมไม่ให้มาเกาะเข็มได้แล้ว

11. กับดักจับแมลงสาบ
จำกัดแมลงสาบปราบยกรัง ให้นำเอากระป๋องเก่า ๆ มาใส่กากกาแฟ แล้วติดเทปกาวสองหน้ารอบ ๆ ขอบด้านในกระป๋อง แมลงสาบจะมาตามกลิ่นและติดเข้ากับกาวแหง็กอยู่กับที่หนีไปไหนไม่ได้แล้วจ้า

12. ขัดคราบคืนกระทะเหมือนใหม่
กากกาแฟจะช่วยกัดเซาะคราบฝั่งแน่นที่ติดอยู่บนกระทะให้หลุดร่อน ซึ่งต้องนำกากกาแฟไปยัดใส่ในถุงเศษผ้าเก่า ๆ แล้วนำมาขัดที่คราบก่อนล้างออกให้เกลี้ยงเกลา

13. หยุดขี้เถ้าที่เตาไม่ให้ฟุ้งกระจาย
ขี้เถ้าใต้เตาปิ้งย่างมีน้ำหนักเบาจึงฟุ้งกระจายได้ง่าย เวลาขยับจับทำความสะอาด ให้เอากากกาแฟที่ชื้น ๆ ไปโรยไว้ด้านข้าง หรือรอบขี้เถ้าก็จะไม่ฟุ้งกระจาย ทำให้ง่ายต่อการเก็บกวาด

14. ลดกลิ่นฉุนกระเทียมที่มือ
ทุกครั้งที่ทำอาหารเกี่ยวกับกระเทียมหรือหอมแดงที่มีกลิ่นฉุน ๆ แรง ๆ ก็จะติดมือจนล้างออกยาก เพื่อกันลืมล้างกลิ่นกระเทียมออกให้เอากากกาแฟใส่กล่องใบเล็ก แล้ววางไว้ข้างที่อ่างล้างมือ หยิบมาถูกมือก่อนล้างด้วยสบู่กลิ่นก็จะหายไป

15. ทำความสะอาดท่ออ่างล้างจาน
ทำก้อนกากกาแฟทำความสะอาด โดยผสมกากกาแฟแห้ง 1 ถ้วย ดีเกลือ ½ ถ้วย เบกกิ้งโซดา ½ ถ้วย น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน จากนั้นปั้นให้เป็นก้อนแล้วตากให้แห้ง เมื่ออ่างล้างจานสกปรกให้เอาก้อนกากกาแฟขัดที่ปากท่อ แต่ถ้าบ้านใครมีท่อที่เป็นใบมีดตัดขยะก็จะช่วยได้ดี

16. ทำน้ำยาทะลวงท่อน้ำตัน
ท่อตัน ๆ ก็สลายได้ให้พริบตาด้วยการผสมกากกาแฟในน้ำร้อน และน้ำยาล้างจานนิดหน่อย แล้วเทลงไปในท่ออ่างล้างหรือท่อในห้องน้ำก็ได้เช่นกัน

17. ดับกลิ่นอับในตู้เย็น
บ้านไหนที่หลงใหลการบดกาแฟดื่มเองทุกวัน ก็จะดีหน่อยเพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อถ่านไม้ มาวางไว้ในตู้เย็นแล้ว แค่เอากากกาแฟที่ใช้แล้ววางแทนก็จะดูดกลิ่นให้สิ้นซากได้เช่นกัน

18. ลบรอยขีดข่วนด่วนทันใจ
รอยขีดข่วนที่เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นปัญหากวนใจระดับต้น ๆ เลย แนะนำให้เอาน้ำมันมะกอกมาผสมกับกากกาแฟ และทาทับรอยทิ้งไว้ซักพักพอเช็ดออกก็จะพบว่ารอยนั้นค่อย ๆ จางหายไป

19. เปลี่ยนไม้ใหม่ให้เป็นไม้เก๋า ๆ
บางคนมีรสนิยมชอบสะสมหรือ สร้างผลงานที่แลดูเก่า เพื่อแสดงความเก๋าในประสบการณ์ ฉะนั้นถ้ามีไม้ใหม่กับกากกาแฟก็ทำให้เก่าได้แล้ว โดยผสมกากกาแฟ 1 ช้อนชา ลงในน้ำส้มสายชูกลั่นบรรจุใส่ภาชนะทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำแปรงมาจุ่มแล้วทาทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เพื่อทาทับต่อให้เก่าตามที่ต้องการ

20. ทำเทียนเปลี่ยนบรรยากาศ
ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศด้วยเทียนฝีมือตัวเองกันดูสิ ให้หาเทียนเหลือใช้ที่บ้านมาละลาย แล้วตักกากกาแฟลงไปที่ก้นแก้วสลับกับเทน้ำเทียนลงไปทีละชั้น อย่าลืมหยอดใส่เทียนลงไปด้วย ทิ้งไว้ให้แห้งก็ได้เทียนกลิ่นกาแฟหอม ๆ มาติดบ้านไว้

21. เปลี่ยนอากาศอับเพื่อรับความสดชื่น
กลิ่นไม่พึ่งประสงค์ทั้งที่บ้านและในรถ จะลดภาพลักษณ์ที่ดีให้เสียคะแนนไปเลย แนะนำให้ถุงเศษผ้าเก่า หรือถุงมือที่ไม่ใช้แล้วมาใส่กากกาแฟ แล้ววางไว้ที่บ้านกับในรถ กลิ่นอับก็จะหายไป

22. ทำฟอสซิลปลอมเพื่อหลอมความรู้ให้ลูก ๆ
อาจให้เจ้าตัวน้อยได้เล่นของเล่นที่ทำประดิษฐ์เองกับมือ ก็ต้องลองผสมกากกาแฟ 1 ถ้วย น้ำกาแฟเย็น ½ ถ้วย เกลือ ½ถ้วย และแป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย ผสมทั้งหมดให้เข้ากันปั้นเป็นรูปที่ต้องการ แล้วนำไปอบด้วยความร้อน 200 องศา ประมาณครึ่งชั่วโมง พักไว้ให้เย็นตัวลงแล้วพาลูก ๆ ไปสนุกกันเลย

23. วาดรูปดึงดูดความอาร์ต
ช่วยแนะนำเพิ่มไอเดียใหม่ ๆ ให้ลูกในการทำงานศิลปะด้วยกาแฟ เก็บกากกาแฟที่เหลือมาคั้นน้ำอีกรอบก็จะได้สีกาแฟเพ้นท์แบบปลอดสารพิษแล้ว แถมยังสื่อถึงการรังสรรค์ผลงานจากธรรมชาติโดยตรงอีกตั้งหาก

24. ช่วยน้องหมาจากเห็บหมัด
สงสารน้องหมาที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับเห็บหมัด คันยุบยิบจะดึงออกก็ลำบากเสียจริง ให้เจ้าของผสมกากกาแฟเข้ากันแชมพูอาบน้ำน้องหมา จะช่วยกำจัดเจ้าเห็บหมัดจอนป่วนให้หายไป

25. กันลื่นทางเข้าบ้าน
ทางเดินเข้าหน้าบ้านที่ชื้นแชะเดินลำบาก มาเพิ่มความสากให้เดินสะดวกด้วยกากกาแฟดีกว่า โรยกากกาแฟไว้หน้าที่ทางเดิน ก็จะช่วยเพิ่มแรงเสียดทานให้เดินง่ายขึ้นคล้ายกับดอกยางใต้รองเท้า

หากใครไม่ได้เป็นคอกาแฟและไม่มีกากกาแฟในบ้าน จะลองขอซื้อจากร้านกาแฟสดทั่ว ๆ ไปเขาก็มีขายให้เหมือนกันนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://home.kapook.com/view117284.html

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

เช็คด่วน! ปวดท้องจุดต่างๆ ทั้ง9จุดในร่างกาย


เช็คด่วน! ปวดท้องจุดต่างๆ ทั้ง9จุดในร่างกาย

1. ชายโครงขวา 
เป็นจุดของตับและถุงน้ำดี หากกดแล้วเจอก้อนแข็งๆ บวกกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ก็จะหมายถึง ความบกพร่องเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี ปวดมาก หาหมอดีกว่า
2. ใต้ลิ้นปี่ หรือกลางตัวเรา ตรงซี่โครงซี่ล่างสุด (กลางตัว) 
จะหมายถึง กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- หากปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม ก็หมายถึง อาจเกี่ยวกับโรคกระเพาะ - หากปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อันนี้ตับอ่อนอักเสบ
- หากคลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต (ปรึกษาหมอ)
- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่ อันนี้ก็ปรึกษาหมอ
3. ปวดชายโครงขวา เป็นตำแหน่งของม้าม หากเจ็บ ต้องปรึกษาหมอโดยด่วน
4. ปวดบั้นเอวขวา สาวๆ เป็นกันประจำ ตำแหน่งนี้คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดมากจะหมายถึงลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อันนี้แรงหน่อย เริ่มต้นเป็นนิ่วในท่อไตครับ
- ปวดร่วมกับปวดหลัง แถมมีไข้ หนาวสั่นด้วย ปัสสาวะขุ่น อันนี้แรงหน่อย กรวยไตอักเสบ อย่าฝืนนะครับ หาหมอดีกว่า
- คลำเจอก้อนเนื้อ อันนี้ก็หาหมอวินิจฉัยด่วน
5. ปวดรอบสะดือ มันคือ ตำแหน่งลำไส้เล็ก 
มักพบในคนที่มักท้องเดิน แต่หากกดแล้วปวดโครต ๆ มันคือไส้ติ่งครับ ปวดมาก ๆ หาหมอด่วน แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้องด้วย ก็ไม่เป็นไรมากครับ อาจแค่กระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ (คงกินมากไป เหอะ ๆ)
6. ปวดบั้นนเอวซ้าย เป็นตำแหน่ง ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ (เหมือนข้อ 4)
7. ปวดท้องน้อยขวา เป็นตำแหน่ง ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก 
- หากปวดเกร็งเป็นระยะ ๆ แล้วร้าวมาที่ต้นขา หมายถึงกรวยไตอาจเป็นอะไรสักอย่าง หาหมอครับ
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก อย่าทนครับ เพราะเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว ผู้หญิงเท่านั้น่ที่เป็น เพราะมันคือ ปีกมดลูกอักเสบครับ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ เบื้องต้นอาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
8. ปวดท้องน้อย มันเป็นตำแหน่งกระเพาะปัสสาวะและมดลูก 
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย เดาได้ง่ายเลย เพราะมันคือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือแรงหน่อยคือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (แต่เป็นกันน้อย)
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน ไม่มีอะไรมาก คุณกำลังมีประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร ไม่อยากบอก ปรึกษาหมอโดยด่วนครับเพราะมันคืออาการมดลูกผิดปกติ
9. ปวดท้องน้อยซ้าย เป็นตำแหน่ง ปีกมดลูกและท่อไต 
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

ขอขอบคุณที่มา : Healththai.com