วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

10 อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ




10 อาหารเช้าเพื่อสุขภาพที่เฮลท์ตี้ อย่างนี้ต้องมีไว้ติดบ้าน !


 มื้อเช้า อย่าคิดว่ารับประทานอะไรก็ได้เหมือน ๆ กัน ต้องคำนึงถึงคุณประโยชน์ของอาหารด้วยถึงจะดี แต่ถ้านึกไม่ออกลองมาหยิบอาหารเหล่านี้ไปรับประทานกัน บอกเลย กินแล้วสุขภาพดี๊ดี

          อาหารเช้า เป็นอาหารมื้อแรกของวันที่ถือว่ามีความจำเป็นต่อร่างกา ยและช่วยกำหนดปริมาณการรับประทานอาหารไปได้ทั้งวัน ถ้าหากไม่ยอมรับประทานหรือทานน้อยเกินไป ความหิวโหยจะทำให้เราทานมื้ออื่นมากกว่าปกติ สะสมพลังงานส่วนเกินไว้จนเกิดรอบเอวหนา ๆ ตามมาได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทานอะไรเข้าไปก็ได้ อย่างน้อยก็ต้องเลือกสิ่งที่จะช่วยเติมเต็มมื้อเช้าให้เราได้จริง ๆ อย่างที่ health.com หยิบเอาอาหารเช้าที่ดีต่อสุขภาพมาฝากในวันนี้ ถ้าเคยสงสัยว่ามื้อเช้าจะกินอะไรให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายดีละก็ ที่จะได้รู้เลยล่ะค่ะ

 1. กล้วย
          ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ถือเป็นสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพแล้วละก็ จะไม่พูดถึงกล้วยก็คงไม่ได้ เพราะกล้วยมีประโยชน์ต่อร่างกาย แถมยังเหมาะเป็นอาหารเช้าอีกด้วย โดยเฉพาะกล้วยที่ยังมีเปลือกสีเขียวหลงเหลืออยู่ เพราะจะมีคาร์โบไฮเดรตช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมีโพแทสเซียมสูง รวมทั้งปริมาณเกลือแร่ที่ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตในอยู ่ในร่างกายที่ปกติ ยังไม่รวมถึงปริมาณน้ำตาลที่น้อย เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานอีกด้วย หากได้รับประทานกับซีเรียล หรือข้าวโอ๊ตนี่ละเด็ดเลย

 2. ไข่
          แม้ใครจะคิดว่าไข่มีคอเลสเตอรอลจนไม่กล้าทาน แต่ไข่นี่ล่ะคือแหล่งโปรตีนและวิตามินดีที่สำคัญเลย เหมาะสำหรับการเป็นอาหารเช้ามากเลยเชียว แม้จะมีคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูงแต่ก็ยังอยู่ในปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน โดยคนเราสามารถบริโภคคอเลสเตอรอลได้ถึงวันละ 300 มิลลิกรัมต่อวัน แค่เพียงควบคุมปริมาณอาหารที่มีคอเลสเตอรอลในมื้ออื่น ๆ โดยการรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไขมันต่ำ คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคอเลสเตอรอลสูงในร่างกายแล้วล่ะค่ะ

 3. แตงโม
          แตงโมเป็นคำตอบที่ดีสำหรับคนที่ต้องการช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำ อย่างเพียงพอในตอนเช้า เพราะแตงโมเป็นผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนผสมมาก เมื่อรับประทานแตงโมเข้าไปก็จะช่วยให้เราได้บริโภคน้ำเข้าไปด้วย นอกจากนี้ที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือแตงโมอุดมไปด้วยสารไลโคปีน (Lycopene) สารอาหารที่พบแต่ในอาหารที่มีสีแดงเท่านั้น ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพตา สุขภาพหัวใจ และป้องกันโรคมะเร็งได้ ขณะที่ปริมาณแคลอรีของแตงโมก็ต่ำมาก โดยที่แตงโม 1 ถ้วยมีปริมาณแคลอรีเพียง 40 แคลอรีเท่านั้น เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพและคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอย่างยิ่ง

 4. เมล็ดแฟลกซ์
          ลองโรยเมล็ดแฟลกซ์บดลงบนสมูทตี้หรือซีเรียลดูสิ รับรองได้เลยว่ามื้อเช้าที่แสนธรรมดาจะกลายเป็นอาหารที่อุดมด้วยไขมันโอเมก้า 3 อย่างแน่นอน เพราะแค่เมล็ดแฟลกซ์เพียง 2 ช้อนโต๊ะ ก็มีปริมาณไขมันโอเมก้า 3 มากกว่า 100% ของปริมาณไขมันโอเมก้า 3 ที่ควรได้รับต่อวัน อันมีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ
          หากกลัวว่ารสชาติของเมล็ดจะแปลกจนไม่กล้ารับประทานละก็ ขอบอกเลยว่าเมล็ดแฟลกซ์มีรสชาติคล้าย ๆ ถั่วนี่ล่ะค่ะ นอกจากนี้เมล็ดแฟลกซ์ยังมีไฟเบอร์ ลิกแนน (lignans) สูง ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้อีกด้วยนะ และถ้าอยากให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ละก็ควรจะใช้เป็นเมล็ดแฟลกซ์ชนิดบด หรือที่เป็นเครื่องเทศสำเร็จรูปจะดีกว่าค่ะ

 5. กาแฟ
          คอกาแฟต้องตาลุกวาวอย่างแน่นอนเมื่อได้ทราบกันแบบนี้ กาแฟ ถือเป็นอาหารเช้าที่ดีต่อร่างกาย เพราะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัวแล้ว ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคบางชนิด เช่น โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แถมยังช่วยให้คุณมีอายุยืนขึ้นอีกด้วย !
          โดยนักวิจัยได้พบว่า กาแฟเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ก็อย่าดื่มมากเกินไปค่ะ เดี๋ยวจะทำให้ใจสั่นไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ แถมกาแฟที่อุดมไปด้วยน้ำตาล จะทำให้กาแฟที่ดีมีประโยชน์กลายเป็นวายร้ายทำลายสุขภาพได้เหมือนกันนะ

 6. ชา
          หากคุณไม่ชอบดื่มกาแฟ ดื่มชาแทนก็ได้ค่ะ ถือว่าได้ประโยชน์เหมือนกัน แม้ว่าจะมีคาเฟอีนน้อยกว่า แต่ก็ช่วยให้คุณไม่ประสบกับภาวะขาดน้ำในตอนเช้าอย่างแน่นอน แถมในชายังอุดมไปสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอีกด้วย และขอบอกว่าชาทุกชนิดนั้นมีประโยชน์เท่ากันหมด แต่ถ้าอยากให้ได้ประโยชน์สูงสุดละก็ควรจะดื่มชาเขียว เพราะมีการศึกษาพบว่าการดื่มชาเขียววันละ 5 แก้วจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายและช่วยทำให้ลดน้ำหนักได้ดีขึ้นอีกด้วย

 7. แคนตาลูป
          ไม่ว่าจะผลไม้ชนิดใดก็มีประโยชน์และเหมาะจะเป็นส่วนหนึ่งของอาหารเช้าทั้งนั้น แต่แคนตาลูปนั้นมีแคลอรีค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับผลไม้บางชนิด โดยแคนตาลูป 1/4 ลูก มีแคลอรี 50 แคลอรี และมีวิตามินซี และวิตามินเอสูงถึง 100% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันอีกด้วย โดยวิตามินทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวลและดูเด็กกว่าวัยได้ ขณะที่ปริมาณของน้ำในแคนตาลูปก็ใช่ย่อย เพราะแคนตาลูปก็เป็นผลไม้ในตระกูลแตงเหมือนกัน ทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดน้ำหรือจะหิวก่อนมื้อเที่ยงอย่างแน่นอน แคนตาลูปนี่ล่ะอยู่ท้องสุด ๆ

 8. น้ำส้ม
          น้ำส้มถือเป็นน้ำผลไม้ที่นิยมดื่มกันมาที่สุดในช่วงเช้า นั่นก็เป็นเพราะน้ำส้มมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย และยังมีวิตามินดีสูง ไปช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารจากอาหารที่เรารับประทานตอนเช้า อย่างเช่นปลาที่มีไขมันสูง หรือนมเสริมแร่ธาตุและวิตามิน และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ภาวะซึมเศร้า และโรคมะเร็งบางชนิดได้ แต่ก็ไม่ควรดื่มมากกว่า 1 แก้วเล็ก ๆ ต่อวันนะคะ เพราะน้ำผลไม้นี่ก็มีแคลอรีและน้ำตาลสูง แถมยังไม่สามารถทดแทนผลไม้สดได้อีกด้วย

 9. ซีเรียล
          ซีเรียลถือเป็นอาหารที่ง่ายสุด ๆ ในการรับประทานแค่เพียงเทใส่ถ้วยเติมนมก็รับประทานได้แล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าซีเรียลเองก็มีหลายแบบให้เลือกนะ ดังนั้นจึงควรเลือกซีเรียลที่ทำจากธัญพืช เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารที่สำคัญอย่างกรดโฟลิก และไรโบเฟลวิน (riboflavin) รวมทั้งแร่ธาตุต่าง ๆ จากธัญพืชอย่างเต็มที่ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น และถ้ายิ่งเติมผลไม้ลงไปด้วยในชามซีเรียลละก็ ก็จะยิ่งช่วยให้ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้

  10.ขนมปังโฮลวีท
          คาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารเช้าที่ทุกคนมักจะนึกถึง ถ้าเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตถูกประเภท นั่นก็หมายถึงประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมหาศาลเลยเชียวล่ะ โดยเฉพาะขนมปังโฮลวีทที่รวมเอาธัญพืชต่าง ๆ มาไว้ด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับไฟเบอร์และแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากขึ้นนั่นเอง และถ้าอยากให้อิ่มอร่อยแบบได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นก็ควรเพิ่มโปรตี   นอย่างไข่เป็นแซนด์วิช หรือทาเนยอัลมอนด์ก็กำลังดีเลยนะ

          อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ดังนั้นอย่าลืมรับประทานอาหารเช้ากันเด็ดขาดเลยนะคะ เพราะนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพแล้วก็ยังจะทำให้อ้วน และมีโรคภัยตามมาอีกมากมายอีกด้วย อย่ามัวแต่อ้างว่าไม่มีเวลากันเลยดีกว่า เพราะถ้าวันหนึ่งเกิดป่วยขึ้นมาต่อให้มีเวลามากแค่ไหนก็ไม่คุ้ม  กันค่ะ

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

“โรคไมเกรน” ช่วงหน้าร้อน



รับมือ “โรคไมเกรน” ช่วงหน้าร้อน

อาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือที่รู้จักกันในชื่อโรค  “ไมเกรน” นั้น เป็นโรคที่คนวัยทำงานป่วยเป็นมากที่สุด ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย
นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคปวดศีรษะไมเกรนมักพบบ่อยในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียคุณภาพชีวิตและสมรรถนะภาพในการทำงานของคนวัยนี้ลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนจะปวดแบบตุ๊บๆ บริเวณที่มีหลอดเลือดขนาดใหญ่ เช่น บริเวณขมับและท้ายทอย ระดับการปวดอาจรุนแรงปานกลางถึงมากจนไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามปกติได้
ทั้งนี้ ผู้ป่วยประมาณ 60% จะปวดศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง อีกประมาณ 35% จะปวดศีรษะสลับข้างไปมา ส่วนที่เหลือจะปวดศีรษะทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย นอกจากนี้ตาจะสู้แสงไม่ได้และไม่ชอบเสียงดัง อาการปวดจะแย่ลงเมื่อมีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำกิจกรรมต่างๆ และเมื่อนอนพักอาการก็จะดีขึ้น หากไม่ได้รักษาอาการปวดจะอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง ความถี่ของอาการอาจเป็นได้หลายครั้งต่อเดือนหรือปีละ 1-2 ครั้ง
โรคปวดศีรษะไมเกรนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ แบบมีอาการเตือนจะเกิดขึ้นช่วงก่อนหรือหลังปวดไม่เกิน 1 ชั่วโมง นาน 15-30 นาที โดยมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น เห็นแสงวูบวาบ ซิกแซก หรือเงามืดขยายวงที่มุมหนึ่งของลานสายตา เจ็บหรือเหน็บชาร่างกายครึ่งซีก พูดผิดปกติและอ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก ส่วนในเด็กอาการปวดศีรษะอาจไม่ชัดเจนแต่จะมีอาการนำ เช่น อาเจียนหรือปวดท้องติดต่อกันโดยไม่มีสาเหตุอื่น และแบบไม่มีอาการเตือนจะพบมากประมาณ 85%
สาเหตุของโรคปวดศีรษะไมเกรนคือ มีการกระตุ้นต่อเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ซึ่งทำหน้าที่รับความรู้สึกที่บริเวณเยื่อหุ้มสมองและหลอดเลือดใหญ่ภายในกะโหลกหลั่งสารเคมีต่างๆ ไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง ส่งผลให้หลอดเลือดใหญ่ที่ติดกับเยื่อหุ้มสมองขยายตัวและทำให้เกิดอาการปวดขึ้นมา ไมเกรนเป็นโรคเรื้อรัง หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาการของโรคอาจรุนแรงขึ้นจนทำให้ต้องใช้ยาแก้ปวดมากเกินขนาด
โดยธรรมชาติของโรคอาการจะดีขึ้นหลังวัยหมดระดู การรักษาในรายที่มีอาการไม่บ่อย (น้อยกว่า 2 ครั้งต่อเดือน) อาจรับประทานยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว ส่วนผู้ที่มีอาการปวดนานเกิน 72 ชั่วโมง ปวดศีรษะไมเกรนครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 55 ปี หรือขณะตั้งครรภ์ มีอาการปวดมากกว่า 2 ครั้งต่อเดือน และมีอาการปวดร่วมกับมีไข้ ผื่นผิวหนัง คอแข็ง ชัก กระตุก ซึมลง ตามัว เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรน ได้แก่ การอดนอน การทำงานหนักเกินไป การอดอาหารหรือรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เล่นกีฬาที่หักโหมเกินไป อากาศร้อน/เย็นจัดมองแสงจ้า เสียงดัง กลิ่นน้ำหอมบางชนิด กลิ่นสารเคมีบางอย่าง อาหารประเภทฟาสฟู้ด ชีส เนยแข็ง ไส้กรอก ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ สารแทนความหวาน เป็นต้น นอกจากนี้ควรฝึกผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน การเรียน หากมีอาการปวดใช้น้ำแข็งประคบที่ศีรษะเพื่อบรรเทาอาการ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หรือนวดด้วยกลิ่นหอมจะช่วยให้ผ่อนคลายจากการปวดไมเกรนได้

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้าออนไลน์

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

10 น้ำผลไม้คลายร้อน


彡  10 น้ำผลไม้คลายร้อน !!!!

ในช่วงที่อุณหภูมิกำลังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างมองหาวิธีคลายร้อนต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องดื่มเย็นๆ ที่ช่วยดับกระหาย และเพิ่มความสดชื่นได้
เครื่องดื่มส่วนใหญ่ที่มีขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่ มีส่วนผสมที่มีน้ำตาลสูง ถึงแม้จะช่วยดับร้อนได้แต่กลับเพิ่มผลเสียให้กลับร่างกายแทน  วันนี้เราจึงมี 10 น้ำผัก-ผลไม้คลายร้อน มานำเสนอ เป็น 10 เมนูเครื่องดื่ม ที่คุณสามารถทำเองได้ง่าย แถมได้สุขภาพดีแบบเต็มๆ

1. ว่านหางจระเข้
ดีต่อสุขภาพผิวของคุณ เนื่องจากว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาและให้ความชุ่มชื้น รวมถึงอุดมไปด้วยวิตามินบี ซี และอี บวกกับเอนไซม์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีกรดโฟลิกซึ่งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถบรรเทาอาการตับอ่อนอักเสบได้ ที่สำคัญว่านหางจระเข้ยังมีประโยชน์ต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ อีกทั้งช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารด้วย

2. แอปเปิ้ล
ขึ้นชื่อในเรื่องการรักษาอาการท้องผูกและมีเพคทินซึ่งช่วยยับยั้งและกำจัดสารพิษในลำไส้ระหว่างการย่อยอาหาร อีกทั้งยังดีต่อตับเนื่องจากมีกรดมาลิคที่สามารถสลายนิ่วในถุงน้ำดี แอปเปิ้ลมีทั้งวิตามินเอและซี โปแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส ผลวิจัยเผยว่าการรับประทานแอปเปิ้ลจะช่วยบำรุงสมองและลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

3. บีทรูท
ขึ้นชื่อในเรื่องการทำความสะอาดเลือดและตับส่งผลให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีไนตริกออกไซด์ซึ่งจะช่วยขยายหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และรักษาระดับความดัน บีทรูทอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนท์ซึ่งมีสรรพคุณต่อต้านการอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ ประกอบไปด้วยบีเทนซึ่งกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีช่วยในการย่อยอาหาร แถมยังช่วยปกป้องอวัยวะภายในและป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ที่สำคัญบีทรูทมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี6 และซีสูงมาก

4. แครอท
มีเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์และชะลอกระบวนการแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังมีวิตามินซีสูงซึ่งช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและโปแทสเซียม ทั้งนี้แครอทยังขึ้นชื่อในเรื่องการขับกรดยูริคและสารพิษที่อยู่ในไตด้วย การวิจัยเผยว่าแครอทถูกจัดอยู่ในกลุ่มผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด

5. มะพร้าว
มีไขมันดีซึ่งดีต่อต่อมไทรอยด์ น้ำมะพร้าวคือส่วนผสมที่ได้รับความนิยมสูงในสูตรน้ำผลไม้จำนวนมากและขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากอุดมไปด้วยโปแทสเซียมและอิเล็กโทรไลต์ นอกจากนี้มีปริมาณน้ำตาลต่ำกว่าน้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำผลไม้บางชนิด แถมเนื้อมะพร้าวยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยเนื่องจากมีกรดไขมันที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับคลอเลสเตอรอลและมีกากใยที่ช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

6. มะเขือเทศ
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและไลโคปีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการทำงานของสมองและป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี บี6 และเค ไนอาซิน โปแทสเซียม ไบโอติน ฟอสฟอรัส แคลเซียม สังกะสี เหล็ก และเซเลเนียม รวมถึงกรดอินทรีย์ต่างๆ เช่น ซิตริกและมาลิค การศึกษาพบว่าไลโคปีนจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีส่วนเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัว ไขมันในร่างกาย ดัชนีมวลกาย และคลอเรสเตอรอลด้วย

7. คื่นช่าย
อุดมไปด้วยลูทีโอลินซึ่งเสริมสร้างการทำงานของสมองและบรรเทาอาการอักเสบ นอกจากนี้ใบคื่นช่ายยังเป็นแหล่งวิตามินเอชั้นเยี่ยม ขณะที่ก้านคื่นช่ายมีทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 และซี รวมถึงโซเดียม เหล็ก โปแทสเซียม แคลเซียม โฟเลต แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และกรดอะมิโนที่จำเป็น

8. แตงกวา
เป็นผลไม้อีกชนิดที่ขึ้นชื่อในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นเนื่องจากมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 90 ทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีแถมยังมีฤทธิ์เย็นตามธรรมชาติและช่วยลดอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังเสริมสร้างระบบย่อยอาหารเนื่องจากอุดมไปด้วยน้ำและกากใยอาหาร

9. ขิง
ขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณทางยา นิยมนำมาใช้เมื่อคุณมีอาการคลื่นเหียนหรือท้องไส้ปั่นป่วน ขิงจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ปกป้องตับ ช่วยสร้างความอบอุ่น กระตุ้นการไหลเวียน บรรเทาอาการอักเสบ ลดภาวะเลือดคั่งในปอด และดีต่อต่อมไทรอยด์ ที่สำคัญขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่า 12 ชนิด

10. มะนาว
อุดมไปด้วยวิตามินซีและบี โฟเลต ฟลาโวนอยด์ และไลโมนีนซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีช่วยต่อต้านมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการรักษาต่อมไทรอยด์ มีฤทธิ์เป็นด่างในกระเพาะอาหารและช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร

ทั้งนี้ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี ควรผสมน้ำตาลในปริมาณน้อยหรือไม่ผสมเลย จะให้ผลดีต่อร่างกายมากที่สุด

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า 
Cr : Panida

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

ใส่ใจสุขภาพด้วย ชาร้อน (Lisa)



ชาคู่กับกาแฟ แต่มีใครสักกี่คนที่รู้จักชา การดื่มชาของชาวจีนและชาวญี่ปุ่น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การดื่มเครื่องดื่มกันเล่นๆ ในยามว่างเท่านั้น แต่ถือได้ว่าเป็นประเพณี และวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมาแต่ในอดีตทีเดียว เพราะทั้งในบทกวี บทเพลง ข้อคิดมิตรภาพ ความเอื้ออาทร และความรัก ล้วนมีการดื่มชาเป็นส่วนหนึ่งด้วยเสมอ

ชา เครื่องดื่มที่ให้คุณอนันต์ นอกจากจะช่วยขจัดความอ่อนเพลีย และทำให้รู้สึกระปรี้กระเปร่าแล้วการดื่มชาจะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ทำให้การหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายดีขึ้น แก้กระหายน้ำ ช่วยบำรุงสายตา ขับปัสสาวะ ช่วยระบบการย่อยอาหารป้องกันการเกิดมะเร็ง และบำรุงหัวใจ แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ชามีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการแก่ก่อนวัย และอื่นๆ อีกมากมาย แล้วคุณจะไม่ลองดื่มชาสักหน่อยหรือ

ชามีอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งชาจีน ชาเขียวญี่ปุ่น ชาฝรั่ง ชาซอง ชาเมื่ยง และชากลิ่นดอกไม้ผลไม้ ซึ่งชาชนิดหลังนี้หาเป็นชาไม่ เป็นเพียงแต่การนำใบชามาอบแห้ง พร้อมการปรุงแต่งกลิ่น และสี ชาทั้งหมดทั้งปวงที่เอ่ยมาหาได้แตกต่างกันไม่ ชาก็คือชา เพียงแต่ต่างถิ่นกำเนิดเท่านั้น มีตำราหนังสือดีๆ อีกหลายเล่มที่ให้ความรู้เรื่องชาอย่างลึกซึ้ง

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มดื่มชา ควรลองดื่มให้พอใจในกลิ่น และรสของชาเสียก่อน ใช้เวลาในการมองดูสีน้ำชา สนุกกับการดูใบชาคลี่ตัวร่ายระบำอยู่กลางถ้วยสูดดมไอกลิ่นหอมที่ลอยละล่อง หากคุณเรียนรู้ที่จะเลือกรสชาติที่ชื่นชอบได้แล้ว ควรลองชิมชาประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชาจีน ชาญี่ปุ่น หรือชาฝรั่ง ทั้งชาจีน และชาญี่ปุ่น มีวิธีการชงที่ค่อนข้างมีพิธีรีตรองมาก สำหรับชาฝรั่ง ไม่ยุ่งยากนัก แต่จะมีชื่อเรียกตามแต่โอกาสและอาหารที่ทานกับชา เช่น Low Tea เป็นการดื่มชาพร้อมรับประทานอาหารว่าง เช่น แซนด์วิชชิ้นเล็กๆ บิสกิต และเค้ก หรือคุกกี้ แต่ชิ้นเอกคงเป็นสโคน (Scone) ที่ทานกับวิปปิ้งครีม และแยมรสต่างๆ ซึ่งจะเริ่มทานกันตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็นยาวไปจนถึง 1-2 ทุ่มเลยทีเดียว ส่วน High Tea เป็นการดื่มชาหลังอาหารค่ำ ซึ่งเป็นอาหารมื้อหนัก และยังมีการเรียกชื่อต่างๆ ออกไปอีกตามเวลา สถานที่ และโอกาส แล้วแต่เจ้าภาพจะเรียก เช่น English Afternoon Tea หรือ Meat Tea เป็นต้น

ชาซอง ดูจะเป็นการดื่มชาที่ง่ายที่สุด มีข้อควรจำไว้ว่า ชา 1 ซองมีความเข้มข้นเท่ากับปริมาณน้ำ 2 ถ้วย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าชาเข้มข้นมากพอหรือยัง ให้ใส่ซองชาหรือชาลงในถ้วย เทน้ำร้อน คอยให้น้ำออกสีชา สังเกตดูว่าถ้ามองเกือบไม่เห็นปลายช้อนเป็นใช้ได้ ที่สำคัญอย่าได้ใช้ช้อนบี้กดคั้นน้ำออกจากซองชา เพราะจะทำให้น้ำชามีรสฝาดได้

ลดดื่มกาแฟสักหนึ่งถ้วย แล้วลองเปลี่ยนบรรยากาศมาจิบชาร้อนๆ ดูบ้าง แล้วคุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นแบบไม่เย็นชา

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559

วันจักรี 2559


วันนี้วันจักรี...
.
วันที่ 6 เมษายนของทุกปีเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน ที่ประชาชนชาวไทยรู้จักแต่ละพระองค์ในพระนาม ร.1 - ร.9 ตามลำดับ
.
ร่วมกับรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และพระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์จักรีกันในโอกาสนี้ด้วยนะคะ