วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

งดจ่ายไฟฟ้า 25 – 27 มี.ค. 59

การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) ออกประกาศเตือนให้ประชาชนทราบ ว่า จะทำการพัฒนาและปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงประกาศงดจ่ายไฟระหว่างวันที่ 25 -27 มีนาคม 2559 เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวรับการดับไฟดังกล่าว ซึ่งหากสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ กฟน.ทุกเขตหรือ MEA Call Center โทร.1130 โดยจะงดจ่ายไฟฟ้า ในวันเวลาและพื้นที่ดังต่อไปนี้
วันที่ 25 มีนาคม 2559 เวลา 09.00 – 12.00 น.
-ซอยประชาชื่น 34 กรุงเทพฯ  (ดับทั้งซอย)
วันที่ 26 มีนาคม  2559 เวลา 08.00 – 16.00 น.
-ถนนสมานมิตรพัฒนา  ซอย  อนามัยงามเจริญ 25 แยก 2-9, แยก 2-11 และหมู่บ้านอลิชา 2 ถึง สนามฟุตบอล
เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ซอยจอมทอง ตั้งแต่ซอยจอมทอง 6  ถึงสวนสุวรรณานนท์
-ซอยสุขุมวิทย์ 70/3
-ถนนศาลาธรรมสพน์ ตั้งแต่หมู่บ้านชัยพฤกษ์, ซอยโรงเรียนวัดปุรณาวาส, หมู่บ้านศิรยาถึงศาลายาอพาร์ทเม้นต์
-ถนนประชาราษฎร์สาย 1 ตั้งแต่สะพานพิบูบย์ฯ ถึงแยกบางโพ
-ซอยศาลธนบุรี 25,27 (หมู่บ้านแดนทอง 1,2)
และซอยศาลธนบุรี 29 (หมู่บ้านกิจเจริญ)
เวลา 08.30- 16.00 น.
                -ซอยพึ่งมี 42,48,50 และ 52
-ซอยพึ่งมี50 ตั้งแต่ซอยพึ่งมี 50 แยก 2 ถึงซอยพึ่งมี 50 แยก20
-นิรันดร์คอนโด
เวลา 09.00 – 15.00 น.
-ถนนอโศกดินแดง ตั้งแต่หมู่บ้านสินสยาม,การทางพิเศษแห่งประเทศไทย,ศูนย์ควบคุมทางด่วน 2 ถึง สน.ทางด่วน 2
-ซอยลาดพร้าว 115
นนทบุรี เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ถนนวัดเพลง ตั้งแต่ซอยไทรม้า 11 วัดบางนาง,หมู่บ้านสิรภัทร 2 และ 3 ,หมู่บ้านวัฒกาญจน์ ซอยประชาร่วมใจ, ซอยไสวพล,หมู่บ้านเพอร์เฟกพาร์ค, คลองลุงชิน, ซอยป้าน้อม,หมู่บ้านธรรมชาติ,หมู่บ้านเดอะนารียา ซอยไทรม้า 20,วัดบางนา,หมู่บ้านบางประดู่ ซอยบางรักน้อย 18/3,ซอยป้าแพร, ซอยไทรม้า 23 ถึงซอยไทรม้า 22
-ถนนติวานนท์ ซอยแผ่นดินทอง 17/3
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2559
กรุงเทพมหานคร เวลา 08.00 – 16.00 น.
-ซอยเทียนทะเล 20/1(ดับทั้งซอย)
เวลา 08.00 – 17.30 น.
-สะพานข้ามคลองบางปรากด ถึงซอยสุขสวัสดิ์นิเวศน์ 1 (ยกเว้นซอยวัดแค และบริษัทแอล พี  เอ็น จำกัด)
เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ซอยจรัญสนิทวงศ์ 97 (ดับทั้งซอย)
                -ซอยเทิดไท 33 ตั้งแต่ปากซอยวัดบางสะแกในถึงเทิดไท 33 แยก 4
                -ซอยอุดมสุข 32,34,36 และ 38
                -ถนนดินแดง 1 ซอยแสงอุทัยทิพย์
                -ซอยผาสุกการโกวิท(ฝั่งเหนือ ตั้งแต่หมู่บ้านคาซ่าวิลล์ ถึงแยกโรงเรียนวิชัย,ซอยเอกชัย 69
(สี่แยกทางรถไฟ)
เวลา 08.30 – 16.00 น.
                -ซอยศรีนครินทร์ 40 ถึงซอยศรีนครินทร์ 42
                -ซอยสุภาพงษ์ 3 แยก 2 ถึงซอยสุภาพงษ์ 3 แยก 5
                -ซอยสุภาพงษ์ 4 และซอยสุภาพงษ์ 8
                -หมู่บ้านไหมไทย,หมู่บ้านร่วมเย็น,โกมลอพาร์ทเม้นท์ ศรีนครินทร์และอาคารฟาร์มแลนด์
เวลา 08.30 – 16.30 น.
                -ปากซอยสุขสวัสดิ์ 14 ตั้งแต่ ซี.เค. อพาร์ทเม้นท์  ถึงหมู่บ้านเบลเลอวิลล์
เวลา 09.00 -15.30 น.
                -ถนนนวมินทร์ ตั้งแต่ซอย 13 ถึงถนนแฮปปี้แลนด์
นนทบุรี เวลา 08.30 – 15.30 น.
-ถนนบางกรวย – มหาสวัสดิ์ ตั้งแต่ซอยอุดมลาภ,ซอยพินัยทรัพย์,บ้านมหาสวัสดิ์,หมู่บ้านเอเบิ้ลแลนด์ถึงซอยกำนันจุน
-ถนน 345 ซอยวัดตาล แยกจากซอยวัดสะพานสูง
-ถนน 340 ตั้งแต่ถนนไทรน้อย-ลาดบัวหลวง ถึงสามแยกซอยโรงเรียนบ้านราษฎร์นิยม
-ถนนรัตนาธิเบศร์ ซอยหมู่บ้านซิตี้โฮม,หมู่บ้านศุภาลัยวิลล์ รัตนาธิเบศร์, ลุมพินีปาร์ค รัตนาธิเบศร์ ซอยรัตนาธิเบศร์ 29 (เกร็ดแก้ว)และหมู่บ้านโนเบิ้ลธารา ซอยรัตนาธิเบศร์ 24
ที่มา : Thaiquote

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีทำให้ฟันขาว ด้วย 5 สูตรที่ทำเองได้ที่บ้าน



  วิธีทำให้ฟันขาว ไม่เห็นต้องไปหาหมอฟันเลยนะเออ เพราะแค่ใช้ 5 สูตรง่าย ๆ ที่ทำเองได้ที่บ้าน แค่นี้ฟันเหลือง ๆ ก็จะขาวขึ้นแล้ว

          ลองนึกดูสิว่าถ้าคุณแต่งหน้าทำผมและแต่งตัวมาซะสวย แต่พอแจกความสดใสผ่านรอยยิ้มทีหนึ่ง ก็ไม่น่ามองเอาซะเลย เพราะฟันเหลืองซะเหมือนคนไม่ได้ดูแลสุขภาพช่องปากมาเลยน่ะสิ งานนี้ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินฟอกสีฟันให้เปลือง แค่ใช้ 5 สูตรที่กระปุกดอทคอมหยิบมาจาก Bustle ไปลองใช้ดู ง่าย ๆ แถมได้ผลด้วย ต้องลองแล้วนะแบบนี้

วิธีทำให้ฟันขาว

สูตรไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ + เบกกิ้งโซดา + น้ำมะนาว
          มีหลายคนเลยที่นิยมนำน้ำมะนาวมาช่วยให้ฟันขาวขึ้น แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพให้มากกว่าเดิม ลองใส่ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์และเบกกิ้งโซดาลงไปในน้ำมะนาวด้วยสิ แล้วค่อยใช้แปรงสีฟันไปจุ่มส่วนผสม แล้วมาขัด ๆ ถู ๆ ที่ฟัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ

สูตรผงขมิ้น
          นอกจากผงขมิ้นจะดีต่อผิวแล้ว ก็ยังช่วยเปลี่ยนฟันเหลือง ๆ ให้ขาวขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในผงขมิ้นมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านแบคทีเรียนั่นเอง แค่นำแปรงสีฟันที่เปียกหมาด ๆ มาจุ่มผงขมิ้นเล็กน้อย แล้วนำมาแปรงฟัน ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วค่อยบ้วนออก หลังจากนั้นแปรงด้วยยาสีฟันปกติ ทำอย่างสม่ำเสมอรับรองว่าฟันขาวขึ้นแน่นอน

สูตรผงถ่าน (Activated Charcoal)
          ฟันเหลืองจนหมดความมั่นใจไม่ต้องกังวล แค่หยิบแปรงสีฟันเปียก ๆ มาจุ่มผงถ่านแล้วนำมาขัดถูฟันให้นานสักพัก  พอล้างออกแล้วแปรงด้วยยาสีฟันปกติ เท่านี้ฟันก็จะขาวขึ้นจนรู้สึกได้หลังแปรงเลยแหละ

สูตรเปลือกกล้วย
          เปลือกกล้วยที่กินทุก ๆ เช้าน่ะอย่าไปทิ้ง เพราะแค่นำมาถู ๆ บนฟันและเหงือก ก็จะช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้ด้วย เพราะในเปลือกกล้วยเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้นั่นเอง

สูตรออยล์ พูลลิ่ง (Oil Pulling)
          สาว ๆ คงเคยได้ยินคำว่า ออยล์ พูลลิ่ง หรือ การอมน้ำมันมะพร้าวกลั้วปากแล้วบ้วนทิ้งกันมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ บอกเลยว่าวิธีนี้ดีมาก ๆ ต่อสุขภาพ แถมยังทำให้ฟันของคุณขาวขึ้นได้ด้วยนะ

      ว้าว … สูตรฟันขาวเหล่านี้ดีจริง ๆ เลย เพราะของแต่ละอย่างที่หยิบมาใช้ก็หาง่าย แถมยังไม่แพงอีกด้วย แบบนี้ใครชอบกินชากาแฟบ่อยจนฟันเหลืองแล้ว ก็รีบหยิบสูตรดี ๆ แบบนี้ไปใช้กันเลยดีกว่าเนอะ

สำหรับคนรักสุขภาพแอดมินแนะนำเพจนี้เลยจ้า 
" Good health สาระดีดี "  
มีบทความเกี่ยวกับสุขภาพ รักสุขภาพ นานาสาระสุขภาพมาให้อ่านกันจ้าาาาา
>> จิ้มเบาๆนะ http://line.me/ti/p/%40gfb8031v

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู - ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้




‘ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู’ ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้

“สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบมี 3 ประการ ด้วยกันคือ 

1.หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือลิ้นหัวใจมีปัญหา
2.เส้นเลือดที่บริเวณลำคอตีบทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ และ
3.สมองตันจากไขมันหรือหินปูนเกาะ

ซึ่งคนทั่วไปที่หากมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่จะเส้นเลือดในสมองตีบได้ โดยเปรียบเทียบจากท่อน้ำที่มีอายุ มองภายนอกอาจไม่ทราบเพราะน้ำยังไหลอยู่ ไม่มีอาการ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ตีบหรือตัน ภายในย่อมเกิดสนิมเกาะและในที่สุดก็จะอุดตันได้ หรือคนที่มีโรคความดัน ไขมัน เบาหวาน และสูบบุหรี่ มีโอกาสที่เส้นเลือดจะขรุขระหรืออุดตันได้ง่าย และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ รักษาทันก็ดีไป แต่หากไม่ทันมีโอกาสพิการ เรียกว่า ครึ่งต่อครึ่งพิการหากเป็น หรือเป็นอัมพาตได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้”

นพ.ประชา กัญญาประสิทธิ์ (หมอเบิร์ด) รพ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ได้พบการรักษาโรคหลอดเลือดในสมองตีบจากสมุนไพรก้นครัว

เนื่องจาก มีคนไข้ผู้ชายรายหนึ่งหลอดเลือดที่คอตีบ เลือดไม่สามารถส่งผ่านไปเลี้ยงสมองทำให้เกล็ดเลือดอุดเป็นก้อน หมอได้ใช้ยารักษาและป้องกันจนดีขึ้น แต่ต่อมาเกิดอาการซ้ำ ใช้ยาเพิ่ม 2 ตัว แต่เอาไม่อยู่ต้องผ่าตัดเพื่อทำบัลลูนขยายเส้นเลือด

เรื่องของเรื่อง คือ คนไข้ไม่อยากผ่าตัด ขอกินยาสมุนไพร หมอ ขอให้กินยาแผนปัจจุบันที่หมอให้ควบคู่ไปด้วย 6 เดือนผ่านไปปรากฏว่า เส้นเลือดที่เคยตีบหรือขรุขระกลับเรียบสวยไม่ต้องผ่าตัดแล้ว หมอจึงสอบถามว่าไปทำอะไรมา คนไข้จึงแจ้งตุ๋นสมุนไพร ดื่มเช้า-เย็น กินแทนน้ำ ปัจจุบันหยุดยาแผนปัจจุบันไปแล้ว

และว่า รายที่ 2 อาการหนักมาก อายุ 70 ปี เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดออกในกระเพาะ ต้องให้ยารักษาประคองอาการ หมอจึงเล่าให้ลูกสาวคนไข้ฟังถึงอาการของคนไข้รายแรกว่าหายได้ด้วยสมุนไพร ซึ่งแพทย์ไม่ได้เชื่อ แต่ไม่อันตรายเลยอยากให้ลองดู ปรากฏว่า 2 เดือนกลับมาตรวจใหม่เส้นเลือดเรียบดีขึ้น

หมอห่วงว่าจะเป็นดาบสองคมจึงบอกเฉพาะคนไข้ที่สนิท แต่ทั้ง 16 ราย ดีขึ้นหมด เพราะเหมือนได้ล้างท่อทุกวัน จึงไม่มีทางตัน ผลที่ได้คือ ไตยังทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะพุทราจีนบำรุงไต
ส่วนผสม คือ

น้ำ 1 ลิตร

พุทราจีนแห้ง 20-30 ผล

เห็ดหูหนูดำ 10 ช่อใหญ่ หรือ 20 ช่อเล็ก

ขิง 1 ขีดใหญ่

ตุ๋นประมาณ 2-4 ชั่วโมง

ได้น้ำงวดลงไป 40-50 % แล้วกินแต่น้ำ

ขิงแก่มีฤทธิ์ร้อน ซึ่งสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนช่วยลดไขมันในเลือดได้ แค่ต้องค่อยๆ กินไประยะหนึ่ง แต่ถือว่าปลอดภัย พุทราจีน น่าจะเป็นส่วนประกอบทำให้กินได้ง่ายขึ้น เพราะมีรสหวาน ส่วนเห็ดหูหนูดำช่วยลดไขมันในเลือดได้จริง แต่ฤทธิ์น้อยมากเมื่อเทียบกับสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอื่นๆ แต่เมื่อนำ 3 อย่างมาตุ๋นรวมกันก็ถือเป็นอาหารสมุนไพรในการดูแลสุขภาพได้

หมอบอกอีกว่า อาหารที่มีฤทธิ์ร้อนทั้งหมดมีส่วนช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เช่น ขิง กระเทียม พริกไทย ข่าสามารถนำมาเป็นส่วนผสมในการประกอบอาหาร สามารถกินได้ทุกมื้อในทุกวัน ใส่เล็กผสมน้อยก็สามารถช่วยลดไขมันในเลือด

สมุนไพรไทยมีสรรพคุณกว้างมาก และส่วนใหญ่ช่วยลดไขมันในเลือด รวมทั้งน้ำตาลในเลือดได้ โดยเฉพาะการกินผักและผลไม้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์มติชน
Cr : นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี



วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์หลายสถานของมะพร้าวน้ำหอม

ประโยชน์หลายสถานของมะพร้าวน้ำหอม



ประมวลสรรพคุณมะพร้าวในตำราแพทย์ไทย
1. ลดไข้ วุ้นเนื้อมะพร้าวอ่อนกับน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นยาเย็น ช่วยให้อาการไข้ตัวร้อนทุเลาลง
2. แก้ร้อนใน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนในตอนเช้าให้หมด และในตอนบ่ายดื่มอีกลูกหนึ่งจนหมด กินเนื้อด้วยก็ได้
3. แก้ท้องเสีย ใช้รากมะพร้าวล้างสะอาด 3 กำมือ ทุบพอแตกต้มน้ำ 5 แก้ว เคี่ยวเอา 2 แก้ว ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว เช้า กลางวัน เย็น
4. แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำกะทิเคี่ยวให้ร้อน เอาผักเสี้ยนผีล้างสะอาดสับเคี่ยวด้วยกัน ใส่เมนทอลเล็กน้อยเพื่อกลิ่นหอม และเพิ่มพลังแทรกซึมของตัวยานวด แก้ปวดเมื่อย ช้ำบวม อักเสบ
5. รักษาแผลเรื้อรัง เอากะลามะพร้าวถูตะไบ ได้ผงละเอียด ผสมกับน้ำมันมะพร้าว แทรกพิมเสนเล็กน้อย ทาแผลเรื้อรัง เช้า กลางวัน เย็น ทาบ่อยๆ
6. แก้จุกเสียด แน่นท้อง เอากะลามะพร้าวเผาไฟให้เป็นถ่าน มาบดเป็นผงละเอียด ละลายน้ำอุ่น ดื่มแก้จุดเสียดแน่นท้องได้ ดื่มสัก 1 - 2 ช้อนโต๊ะ
7. รักษาเกลื้อน เอากะลามะพร้าวแก่จัดที่ขูดแล้ว ที่มีรู มาใส่ถ่านไฟแดงๆ จะทำให้เกิดน้ำมันมะพร้าวไหลออกมา เอาน้ำมันนั้นทาโรคเกลื้อนได้ดีเยี่ยม ทาแล้วทิ้งไว้ 7 วันล้างออก ยางจะติดแน่นอยู่ เกลื้อนจะค่อยๆ หาย
8. แก้ปวดฟัน เอากะลามะพร้าวแก่จัด มีรู ขูดเอาเนื้อออกใหม่ๆ ใส่ถ่านไฟแดงลงไป รองน้ำมันมะพร้าวที่ไหลออกมาเก็บใส่ขวด ปิดแน่นไว้ ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำมันมะพร้าว อุดรูฟันที่ปวด อย่าให้สัมผัสเหงือกหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ จะเกิดความชาได้
9. รักษาคางทูม เอาน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณคางทูมบ่อยๆ วันละ 2 - 3 ครั้ง ทาบางๆ 2 - 3 วัน อาการคางทูมจะดีขึ้น
10. รักษาดีซ่าน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น ทุกวัน เพียง 2 วันก็หาย
11. รักษาแผลเป็น ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากกะลามะพร้าวเผาไฟถ่าน ทาที่แผล แผลจะหายไปในไม่กี่วัน เมื่อแผลหายจะไม่เป็นแผลเป็น
12. แก้ตาอักเสบ เอาน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย ผสมน้ำตาลทรายแดงให้หวานจัดๆ เอาไว้ดื่ม วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อาการอักเสบของดวงตาจะค่อยๆ หายไปเองในที่สุด
13. แก้คลื่นไส้อาเจียน เอามะนาว 1 ซีก บีบผสมน้ำมะพร้าวอ่อน ดื่มแก้อาเจียนได้ดี
14. แก้โรคบิด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น แก้โรคบิดได้ดีมาก
15. บำรุงผิวพรรณ ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนสัปดาห์ละ 4 - 5 ผล ช่วยบำรุงผิวพรรณ แก้เม็ดผดผื่นคัน บำรุงร่างกายให้สดชื่น
16. แก้ปัสสาวะขัด ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน ครั้งละ 1 ผล เช้า กลางวัน เย็น
17. แก้พิษเบื่อเมาได้ดี ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก ไม่กินเนื้อ อีก 2 - 3 ชั่วโมง ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนเย็นๆ เข้าไปอีก แก้วิงเวียน เมา ปวดท้อง ปวดไส้ ล้างพิษที่เกิดขึ้นได้ดี
18. แก้เมาเหล้า เอาน้ำมะพร้าวอ่อนไม่ต้องแช่เย็น ดื่มแก้เมา แก้อาเจียนจากเหล้าได้ดี
19. แก้ไอ เอาน้ำมะพร้าวห้าวมาดื่มจะมีสรรพคุณรักษาอาการไอได้ดีมาก ดื่มเฉพาะน้ำเท่านั้น
20. แก้ชันนะตุพุพอง น้ำมันมะพร้าวผสมเหง้าขมิ้นชัน สารส้มเล็กน้อย ทาบริเวณที่เป็นชันนะตุหรือใช้เพียงน้ำมันมะพร้าวเพียงอย่างเดียวก็ได้ผลดีเช่นกัน
21. แก้รังแค ใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเคี่ยวน้ำกะทิแก่จัด เคี่ยวได้น้ำมันมะพร้าวใหม่ๆ ให้เย็นลงทาศีรษะ 30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพู ใช้เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว
22. รักษาน้ำกัดเท้า เอาน้ำมันมะพร้าวผสมสารส้ม น้ำปูนใส และเกลืออย่างละเล็กน้อย กวนคนผสมกันให้ดี เอามาทาแผลทันที บ่อยๆ จะหายเร็วขึ้น
23. แก้ผื่นคัน เอาเนื้อมะพร้าวขูดเคี่ยวน้ำมันออกมา แล้วเอากากที่เหลือเคี่ยวไปด้วยกันอย่าทิ้ง จนไหม้เกรียมดำ แล้วเอาน้ำมะพร้าวนี้ ซึ่งมีเนื้อมะพร้าวขูดที่ไหม้ไปใช้ประโยชน์ได้
24. รักษาฝ่ามือแห้งแตกและเล็บขบ ใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวใหม่มาใช้ได้ดี หรือใช้น้ำมันมะพร้าวที่ได้จากการเผากะลามีรูจากถ่านไฟก็ได้ ทาเช้า กลางวัน เย็น หรือหยอดเล็บขบ จะหายเร็วและไม่ปวด
25. แก้เบาหวาน เอามะพร้าวแก่ขูดเอาเนื้อคั่วให้เหลือง หอม กรอบ โรยเกลือเล็กน้อย ใส่ขวดปิดฝาแน่น รับประทานครั้งละ 1 ช้อนแกง เช้า กลางวัน เย็น สัก 10 - 15 วัน ระดับน้ำตาลจะลดลงเรื่อยๆ
26. แก้ปากเปื่อย ปากเป็นแผล อมน้ำกะทิสด (จากมะพร้าวแก่) ครั้งละ 5 - 10 นาที 2 - 3 วัน
27. รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้มะพร้าวกะทิปิดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้ได้ดีทีเดียว
28. แก้ไข้ทับระดู เอาจั่นมะพร้าวหรือทะลายดอกมะพร้าว ที่ยังคงมีกาบหุ้มอยู่ ต้มน้ำดื่ม เช้า กลางวัน เย็น อาการไข้ทับระดูจะค่อยๆ หายไป ชาวบ้านบางคนใช้รากก็ได้ผล
29. รักษาลำไส้อักเสบ เอาเปลือกมะพร้าวมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำดื่มต่างน้ำ ลำไส้อักเสบจะค่อยๆ ทุเลาลง จนกระทั่งหายไปในที่สุด (ควรใช้เปลือกมะพร้าวห้าว มะพร้าวแก่หรือมะพร้าวแห้ง)
30. แก้อีสุกอีใส ใช้ใบมะพร้าวต้มน้ำดื่ม แก้อีสุกอีใสได้
31. รักษาอาการเคืองตา ใช้เนื้อมะพร้าวอ่อนสดๆ แปะที่ดวงตา อาการเคืองตาจะทุเลาลงและหายไปได้
**ข้อมูลจากเรื่องน้ำมันมะพร้าว บทบาทต่อสุขภาพและความงาม โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานเครือข่ายพืชปลูกพื้นเมืองไทย จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ความรู้ โดยองค์การเภสัชกรรม (GPO)
Cr.การทำอาหารและยาสมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ดี




วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559

วันสตรีสากล 8 มีนาคม 2559

วันสตรีสากล 8 มีนาคม 2559





วันสตรีสากล 8 มีนาคม

วันสตรีสากล 8 มีนาคม
           วันสตรีสากล 2016 วันที่ 8 มีนาคม วันสตรีสากล 2559 Google เผยโฉมดูเดิลใหม่ รวมผู้หญิงทั่วโลกไว้ในที่เดียว เมย์-รัชนก นักแบดมินตันคนเก่งของไทยโผล่แจมด้วย พร้อมอ่านประวัติความเป็นมา วันสตรีสากล International Women's Day ได้ที่นี่เลย

            วันนี้ใครเข้ากูเกิลคงจะสะดุดเข้าให้กับดูเดิลใหม่ที่มีปุ่มให้กด Play วิดีโอบนหน้าเว็บไซต์ และเมื่อกดไปก็จะพบผู้หญิงหลายคนทั่วโลกมาบอกเล่าความใฝ่ฝันของตัวเองว่าวันหนึ่งพวกเธออยากจะเป็นอะไรหรือทำอะไร โดยหนึ่งในผู้หญิงทั้งหลาย คือ เมย์-รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันสาวไทย ที่ได้ร่วมแชร์เป้าหมายในชีวิตของเธอว่า "วันหนึ่งเมย์ฝันอยากจะคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้ได้ค่ะ"

            แน่นอนว่ามีแต่ผู้หญิงแบบนี้ ดูเดิลนี้จะเป็นดูเดิลเนื่องในโอกาสอื่นใดไม่ได้ ถ้าไม่ใช่วันสตรีสากล กระปุกดอทคอมจึงขอพาทุก ๆ ท่านไปทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของ วันสตรีสากล (International Women's Day) เพื่อให้ตระหนักถึงความสำคัญของสตรี นอกจากนี้ ในทุก ๆ ปี เมื่อถึง วันสตรีสากล นานาประเทศก็จะจัดกิจกรรมฉลองวันแห่งความเสมอภาคของเหล่าสตรีทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน

การกำหนดวันสตรีสากล

          วันสตรีสากล (International Women's Day) ตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่เหล่าสตรีจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพใด จะร่วมเฉลิมฉลองความเสมอภาคที่ได้รับมา และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันในสังคมอีกด้วย


วันสตรีสากล

ความเป็นมาของวันสตรีสากล

          ประวัติความเป็นมาของวันสตรีสากล เกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พากันลุกฮือประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิของพวกเธอ แต่สุดท้ายกลับมีผู้หญิงถึง 119 คนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ด้วยการที่มีคนลอบวางเพลิงเผาโรงงานที่พวกเธอนั่งชุมนุมกันอยู่ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857 (พ.ศ. 2400)

          จากนั้นในปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาทนไม่ไหวต่อการเอารัด เอาเปรียบ กดขี่ ทารุณ ของนายจ้างที่ใช้งานพวกเธอเยี่ยงทาส เนื่องจากกรรมกรหญิงเหล่านี้ต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใด ๆ เป็นผลให้เกิดความเจ็บป่วยล้มตายตามมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่กลับได้รับค่าแรงเพียงน้อยนิด และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก

          ความอัดอั้นตันใจจึงทำให้ "คลาร่า เซทคิน" (CLARE ZETKIN) นักการเมืองสตรีสายแนวคิดสังคมนิยม ชาวเยอรมันตัดสินใจปลุกระดมเหล่ากรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1907 พร้อมกับเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง อีกทั้งให้ปรับปรุงสวัสดิการทุกอย่าง และให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย

          อย่างไรก็ตามแม้การเรียกร้องครั้งนี้ จะไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีแรงงานหญิงหลายร้อยคนถูกจับกุม แต่ก็ทำให้สตรีทั่วโลกสนับสนุนการกระทำของ "คลาร่า เซทคิน" และเป็นการจุดประกายให้สตรีทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงสิทธิของตัวเองมากขึ้น 

          ต่อมาในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2451) มีแรงงานหญิงกว่า 15,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมืองนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็ก โดยมีคำขวัญการรณรงค์ว่า "ขนมปังกับดอกกุหลาบ" ซึ่งหมายถึงการได้รับอาหารที่พอเพียงพร้อม ๆ กับคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง

          จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) ความพยายามของกรรมกรสตรีกลุ่มนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยในที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี ในระบบสาม 8 คือ ยอมให้ลดเวลาทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง ให้เวลาศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองอีก 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับค่าแรงของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย และยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย 

          ทั้งนี้ยังได้รับรองข้อเสนอของ "คลาร่า เซทคิน" ด้วยการกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีเป็นวันสตรีสากล 


คลาร่า เซทคิน 
ภาพจาก dhm.de

คลาร่า เซทคิน ผู้ให้กำเนิดวันสตรีสากล

          คลาร่า เซทคิน (Clara Zetkin) เดิมชื่อคลาร่า ไอนส์เนอร์ ต่อมาแต่งงานกับเพื่อนนักศึกษา ออพซิป เซทกิ้น มีบุตรด้วยกัน 2 คน คลาร่าเป็นนักการเมืองสตรีแนวคิดสังคมนิยม หรือมาร์กซิสต์ เชื้อสายเยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1857 ที่เมืองไวเดอรูว์ แคว้นแซกโซนี ประเทศเยอรมนี ตลอดช่วงชีวิตของคลาร่า เธอได้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเสมอภาคของสตรีอยู่ตลอดเวลา โดยในปี ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432) คลาร่า เซทคิน ได้แสดงสุนทรพจน์ในเรื่องปัญหาของสตรีต่อที่ประชุมผู้ก่อตั้งสภาคองเกรสสากล ครั้งที่ 2 ในกรุงปารีส ซึ่งใจความสำคัญคือการเรียกร้องให้สตรีมีสิทธิในการทำงาน ให้มีการคุ้มครองสตรีและเด็ก รวมทั้งยังได้เรียกร้องให้สตรีมีส่วนร่วมในการประชุมระดับชาติและระดับสากล อีกด้วย 

          ต่อมาในปี 1907 คลาร่า เซทคิน ได้ก่อตั้งกลุ่มนักสังคมนิยมสตรีในเยอรมนี ก่อนที่จะเป็นแกนนำของกลุ่มผู้ใช้แรงงานสตรีโรงงานทอผ้า เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา เดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานของสตรี เหลือ 8 ชั่วโมง พร้อมปรับปรุงสวัสดิการในโรงงานจนนำไปสู่การประชุมขององค์กรสตรีในปี ค.ศ. 1910 พร้อมกันนี้คลาร่าก็ได้เสนอให้วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสตรีสากล เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857 ที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานสตรีโรงงานทอผ้า กรุงนิวยอร์ก สหรัฐฯ รวมตัวกันประท้วงก่อนเกิดโศกนาฏกรรม ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของเธอ

          จากนั้นในปี ค.ศ. 1914 คลาร่า เซทคินได้ร่วมกับนางโรซา ลักเซมเบอร์ก (Rosa Luxemberg) นักคิดสายแนวคิดสังคมนิยม รณรงค์ต่อต้านสงครามโลกครั้งที่ 1 ในนามของกลุ่มสปาร์ตาซิสต์ มีจุดประสงค์ที่จะต่อต้านรัฐบาลเยอรมนีที่ส่งทหารไปร่วมรบ เพราะทำให้ประชาชนมีแต่สูญเสีย ต่อมาในปี ค.ศ. 1918 นางเซทคินก็ได้เข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมนี และได้เป็นผู้แทนสภาผู้แทนราษฎรเยอรมนีหรือสภาไรซ์สตัก

          ในปี ค.ศ. 1920-1932 คลาร่า เซทคินเข้าเป็นแกนนำต่อต้านอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี และต่อต้านการใช้อำนาจเผด็จการ โดยเธอได้กล่าวสุนทรพจน์โจมตีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์อย่างรุนแรง จนถึงปี ค.ศ. 1933 พรรคนาซีเยอรมันเข้ารวบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ และอดอล์ฟ ฮิตเลอร์มีอำนาจในการปกครองอย่างเด็ดขาด ทำให้คลาร่า เซทคิน ต้องยุติบทบาทนักการเมืองสายแนวคิดสังคมนิยม ก่อนถูกรัฐบาลตามล่ากวาดล้างจนต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตที่ประเทศรัสเซียแทน และถึงแก่กรรมในปีเดียวกัน

          ความพยายามของคลาร่า เซทคิน ในการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้กับสตรี อีกทั้งยังทำงานเพื่อสตรีมาโดยตลอด ทำให้คลาร่า ได้รับการขนานนามจากกลุ่มองค์กรสตรีนานาชาติว่าเป็น "มารดาแห่งการเคลื่อนไหวสตรีสากล"
วันสตรีสากล
วันสตรีสากล

ความสำคัญของวันสตรีสากล

          ในวันสตรีสากล บรรดาผู้หญิงในหลาย ๆ ประเทศจากทุกทวีปรวมทั้งองค์กรที่ทำงานด้านผู้หญิงจะรวมตัวกันเพื่อร่วมฉลอง วันสำคัญนี้ และร่วมรำลึกถึงการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของผู้หญิง อย่างไรก็ตามในหลาย ๆ ประเทศเห็นความสำคัญของวันสตรีสากลจึงได้กำหนดให้วันที่ 8 มีนาคมเป็นวันหยุดประจำชาติ และวันสตรีสากลก็ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่องค์กรสหประชาชาติจะได้ร่วมเฉลิมฉลองอีกด้วย

การจัดกิจกรรมวันสตรีสากลในประเทศต่าง ๆ

          จากการที่กำหนดวัน สตรีสากลขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1910 ทำให้มีการจัดกิจกรรมสตรีสากลเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) โดยมีประชาชนทั้งชายและหญิงมากกว่า 1 ล้าน จากในประเทศออสเตรีย เดนมาร์ก เยอรมนี และสวิตเซอร์แลนด์ เข้าชุมนุมเรียกร้องสิทธิในการทำงาน พร้อมขอให้ยุติการแบ่งแยกในการทำงาน จากนั้นในปีถัดมาก็เริ่มมีการจัดกิจกรรมวันสตรีสากลขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสวีเดนตามมา

          ต่อมาในปี ค.ศ. 1913 (พ.ศ. 2456) แรงงานหญิงชาวรัสเซียได้ร่วมชุมนุมที่นครเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก เพื่อประท้วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เป็นเหตุให้ต้องสูญเสียทหารรัสเซียกว่า 2 ล้านคน แรงงานหญิงกลุ่มนี้จึงเดินขบวนเรียกร้อง แม้จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าปราบปรามก็ตาม แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายาม จนอีก 4 วันถัดมา พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียถูกโค่นล้มอำนาจ รัฐบาลที่เข้ามาบริหารใหม่จึงให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งแก่สตรีอย่างเท่าเทียม

          ดังจะเห็นว่า กิจกรรมส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันสตรีสากลช่วงแรก ๆ นั้น มักเป็นไปเพื่อการเรียกร้องสันติภาพ และต่อต้านสงครามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในทวีปยุโรป จนเมื่อเวลาผ่านไปทวีปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา ต่างเล็งเห็นความสำคัญของวันสตรีสากล จึงร่วมมือกันผลักดันในเรื่องสิทธิมนุษยชนของสตรีมากขึ้น เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน

          อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500) องค์การสหประชาชาติได้เข้ามามีบทบาทในการเชิญชวนให้ทุกประเทศในโลกกำหนดวันใดวันหนึ่งเป็นวันฉลองแห่งชาติว่าด้วยสิทธิของสตรีและสันติภาพสากล โดยให้พิจารณาตามขนบธรรมเนียมประเพณี และสภาพทางประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ ซึ่งมีหลายประเทศสนับสนุน และได้กำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันสตรีสากลเช่นกัน

          นอกจากนี้ยังมีการ ประกาศเกียรติคุณ ยกย่องสตรีที่ทำคุณประโยชน์ให้กับโลกทั้งที่เสียชีวิตไปแล้ว หรือมีชีวิตอยู่ เช่น เจ้าหญิงไดอาน่า แห่งอังกฤษ, แม่ชีเทเรซา แห่งประเทศอินเดีย, ประธานาธิบดี เมกาวตี แห่งอินโดนีเซีย และนางอองซานซูจี ของพม่าที่พยายามเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประเทศ

8 มีนาคม วันสตรีสากล 2557


วันสตรีสากลในประเทศไทย

          ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะมุ่งให้เห็นความสำคัญของสุภาพสตรีเช่นกัน ดังนั้นในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2532 ประเทศไทยจึงได้ก่อตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.) ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของผู้หญิงในสังคม รวมทั้งระลึกถึงความเป็นมาแห่งการต่อสู้เพื่อให้ได้ซึ่งความเสมอภาค ยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา นับตั้งแต่นั้นมาวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี ประเทศไทยจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อฉลองเนื่องในวันสตรีสากลด้วย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดนิทรรศการต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จัก และเห็นความสำคัญของวันสตรีสากล

          อีกด้านหนึ่งก็ได้ จัดให้มีการประกาศเกียรติคุณแก่สตรีดีเด่นประจำปี เนื่องในวันสตรีสากล ทั้งนี้ก็เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติ สตรีผู้สร้างประโยชน์ในสาขาอาชีพต่าง ๆ โดยผู้ที่เคยได้รับรางวัลดังกล่าว เช่น คุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์, สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, ปวีณา หงสกุล ฯลฯ 

          การถือกำเนิดของวันสตรีสากลนี้ เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นในการขจัดการแบ่งแยกและการเหยียดเพศให้หมดไป ดังจะเห็นได้ว่าโลกในยุคใหม่นี้ แต่ละแห่งให้ความสำคัญและยอมรับผู้หญิงมากขึ้น ทำให้ผู้หญิงในปัจจุบันมีบทบาทอย่างแพร่หลายต่อการขับเคลื่อนของสังคม ดังนั้น "วันสตรีสากล" จึงเป็นอีกวันหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงทุกคนได้แสดงความสามารถ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความทัดเทียมกันได้อย่างดี

ขอบคุณแหล่งที่มาจาก : hilight.kapook.com/view/34520
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
  
lib.ru.ac.th
สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา 
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

ทำงานหนักเกินไป อันตรายถึงสุขภาพเลยนะ !!


ทำงานหนักเกินไป อันตรายถึงสุขภาพเลยนะ !!

เนื่องด้วยสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ทำให้คนต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย และแน่นอนว่ายิ่งต้องการเงินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำงานเยอะมากเท่านั้น จนบางทีเราก็เผลอทำงานหนักมากจนเกินไป แถมยังพักผ่อนน้อย ส่งผลเสียต่อร่างกายในด้านต่าง ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมได้นำข้อมูลจากเว็บไซต์ goodhousekeeping เกี่ยวกับโทษของการทำงานหนักจนเกินไปมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ขอบอกเลยว่าโทษแต่ละอย่างนั้นน่ากลัวจริง ๆ เลยล่ะจะบอกให้

1. งานหนัก งานเยอะ โรคภัยก็เยอะตาม

การทำงานหนักจนเกินไปสามารถทำให้คุณป่วยได้ เพราะเมื่อคุณทำงานหนักมากเกินไป ร่างกายของคุณก็จะอ่อนแอลง ทำให้เชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยเฉพาะในที่ทำงานซึ่งเป็นแหล่งที่สะสมของเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ไว้มากแห่งหนึ่งเลยล่ะ

นอกจากนี้ สถาบันคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) ยังได้ออกมาเตือนถึงโรคตึกเป็นพิษ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นภายในที่ทำงานเนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในที่ทำงานที่ไม่ดี ซึ่งอาการของโรคตึกเป็นพิษได้แก่ อ่อนล้า ปวดหัว เวียนหัว คลื่นไส้ คัดจมูก ไอ จาม เกิดผดผื่นคัน ระคายเคืองดวงตา และมีความผิดปกติของประสาทรับกลิ่น และถ้าหากละเลยเอาไว้นานก็จะยิ่งทำให้อาการทวีความรุนแรงได้มากขึ้นอีกด้วย

2. ทำงานมากไปทำให้อ้วน

จากการศึกษาในออสเตรเลียพบว่า การนั่งเป็นเวลานานติดต่อกันวันละหลายชั่วโมงนั้นมีผลกระทบกับระบบการเผาผลาญอาหาร เพราะการเผาผลาญจะน้อยลงเมื่อเรานั่ง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อ้วนและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด มีการวิจัยพบว่าผู้หญิงที่นั่งทำงานมากกว่าวันละ 6 ชั่วโมงต่อวันนั้นมีอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงกว่าผู้ที่นั่งทำงานเพียง 3 ชั่วโมงต่อวันถึง 40%

3. ยิ่งงานมาก ยิ่งปวดมาก

ผู้ที่ต้องยืนทำงานเป็นเวลานานมักจะเกิดอาการปวดที่หลัง ไหล่และคอได้ แต่ใช่ว่านั่งทำงานแล้วจะไม่มีอาการเหล่านี้นะ เพราะการนั่งที่ผิดลักษณะอย่างเช่นการนั่งก้มมองจอคอมพิวเตอร์ก็จะยิ่งทำให้เกิดอาการปวดไหล่เรื้้อรัง ยังไม่นับอาการปวดข้อมือจากการที่เราพิมพ์คีย์บอร์ดมากเกินไปอีกด้วยนะ ซึ่งอาการเหล่านี้นั้นหากทิ้งเอาไว้นานอาจจะทำให้เกิดอาการรุนแรงได้

4. ทำงานหนักระวังสายตาจะพัง

การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไปอาจทำให้เกิดโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม ซึ่งจะทำให้ดวงตามีปัญหาเรื่องการมองเห็น โดยอาการจะเริ่มจากการตาแห้ง ปวดหัว คอ และไหล่ และอาจจะทำให้มองเห็นเป็นภาพเบลอ วิธีป้องกันโรคนี้ก็คือการละสายตาจากคอมพิวเตอร์แล้วหันไปมองต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ๆ เพื่อเป็นการผ่อนคลายสายตา

5. ความเครียดถาโถม

การทำงานหนักนั้นไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะอาจนำพาอารมณ์เครียดมาให้คุณ ซึ่งความเครียดเหล่านั้นจะทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายเช่น ปวดหัว อ่อนล้า คลื่นไส้ และอารมณ์เกรี้ยวกราด นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงอีกด้วย

6. ยิ่งงานหนัก ความสัมพันธ์ยิ่งพัง

มีการศึกษาค้นพบว่าผู้หญิงกว่า 61% ที่ทำงานภายใต้ความเครียดและความกดดันนั้นจะส่งผลลบต่อความสัมพันธ์นอกออฟฟิศ ในขณะที่ฝ่ายชายนั้นมีอัตราที่ความเครียดจะทำลายความสัมพันธ์นอกออฟฟิศสูงถึง 79%

ทราบอย่างนี้แล้วก็หวังว่าหลาย ๆ คน ที่กำลังคร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักก็คงจะตระหนักถึงโทษของการทำงานหนักกันแล้วใช่ไหมคะ มันคงไม่คุ้ม ถ้าหากเราทำงานหนักเพื่อจะเอาเงินจากการทำงานมารักษาตัว ดังนั้นเมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำงานมากไปก็ควรผ่อนคลายบ้างนะคะ

(ข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม)
Cr : PAG Design
ภาพ : health.kapook.com