แหล่งรวมสินค้า อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือวัดขนาดเล็ก เครื่องมือทดสอบขนาดใหญ่ สินค้าที่ใช้ในโรงงาน พร้อมทั้ง อลูมิเนียมโปรไฟล์ อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ เช่นโคมไฟแว่นขยาย และอื่นๆอีกมากมาย
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558
เปิดตำนาน เทศกาลแห่งความสุข Merry Christmas
Merry Christmas เทศกาลแห่งความรื่นเริงในหมู่ชาวคริสต์ทั่วโลก เริ่มต้นขึ้นแล้วในวันที่25 ธันวาคม ของทุกๆ ปี ในช่วงฤดูหนาวที่ถูกปกคุลมไปด้วยหิมะ ซึ่งในวันนี้ครอบครัวชาวคริสต์ต่างพร้อมใจกัน ตกแต่งบ้านเรือนของตัวเองให้ดูสดใส มีชีวิตชีวา ด้วยต้นคริสต์มาสต์ที่ถูกประดับดาไว้อย่างสวยงาม พร้อมของขวัญกองโตที่เหล่าสมาชิกในครอบครัวต่างตั้งใจนำมาแลกเปลี่ยนแบ่งปันความสุขให้แก่กัน และที่สำคัญเป็นวันที่เหล่าน้องๆ หนูๆ ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคุณลุงซานตาคลอสผู้ใจดี์ที่จะนำของขวัญมาใส่ไว้ให้ในถุงเท้าคู่โตที่พวกเขาเตรียมเอาไว้ แต่จะมีใครทราบบ้างว่า วันคริสต์มาสที่เรารู้จักกันดีนี้ มีความเป็นมาอย่างไร และกลายมาเป็นวันที่คนทั่วโลกต่างให้ความสำคัญได้อย่างไร
Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณคือคำว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ซึ่งวันคริสต์มาส คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้ว่า พระเยซูประสูติในสมัยจักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร แต่สาเหตุที่ใช้วันที่ 25 ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระเยซูนั้น นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน แต่ด้วยชาวคริสต์สมัยนั้นได้ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนา จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงได้เริ่มฉลองวันคริสต์มาสต์อย่างเป็นทางการและเปิดเผยนับจากนั้นเป็นต้นมา จนกลายเป็นเทศกาลที่สำคัญของชาวคริสต์ทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้เมื่อพูดถึงวันคริสต์มาสหากไม่พูดถึง “ซานตาคลอส" คุณลุงผู้ใจดีและเป็นขวัญใจของเหล่าเด็กๆ ทั่วโลกคงจะไม่ได้ ตำนานเกี่ยวกับซานตาคลอสได้เริ่มถูกเล่าขานขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดในหมู่บ้านไมรา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเกาะโรดส์กับไซปรัส แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านเดมรี มีบ้านเรือนตั้งเรียงรายบนสันทรายใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เด็กชายผู้เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชื่อว่า "นิโคลัส" ชีวิตของเขาอยู่บนกองเงินกองทอง เพราะพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย ต่อมาไม่นานพ่อแม่ก็ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินทุกอย่างจึงตกเป็นของบุตรชาย แต่ด้วยนิโคลัสเป็นคนที่มีอุปนิสัยโอบอ้อมอารีต่อคนยากคนจน เขาจึงชอบแจกสมบัติช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจน ครั้นมีครอบครัวของชายชราผู้ไร้ซึ่งเงินทองครอบครัวหนึ่ง กำลังมีปัญหาด้วยบุตรสาวทั้งสามต้องการแต่งงาน แต่ไม่มีเงินจัดพิธีให้สมเกียรติ ครอบครัวนี้จึงตกอยู่ในความทุกข์ แต่เมื่อนิโคลัสทราบข่าว จึงนำทองคำใส่ถุง 2 ถุง แอบย่องเข้าไปวางไว้ในบ้านของชายยากจนยามดึกสงัด ทำให้ 2 สาวได้จัดพิธีแต่งงานได้อย่างใหญ่โตสมความปรารถนา ต่อมาก็ถึงเวลาของบุตรสาวคนสุดท้องนิโคลัสก็นำถุงทองแอบมาหย่อนลงทางปล่องไฟในยามราตรีเช่นกัน จนทำให้นิโคลัสกลายเป็นที่ยกย่องของผู้คน ต่อมาชาวดัตช์บางกลุ่มได้อพยพมาอยู่ในอเมริกาและได้นำความศรัทธาในนักบุญนิโคลัสติดมาด้วย และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงผสมผสานเข้ากับความเชื่อถือของชาวอเมริกันและเชื้อสายอื่นๆ ทางแถบตะวันออกของอเมริกา ดังนั้นตำนานเซนต์โคลัส จึงได้นำมาผูกโยงกับการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสต์ ซึ่งได้ขนานนามเขาว่า "ซินเตอร์คลาส" ต่อมาได้กร่อนกลายเป็น "ซานตาคลอส" และได้ถูกอุปมาให้เป็นบุคคลที่มาพร้อมกับความรัก ความเมตตากรุณา และความสดใสร่าเริงด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร โดยมีบทบาทและหน้าที่สำคัญกับการแจกของขวัญให้กับเด็กๆ ในตอนเช้าตรู่ของทุกวันคริสต์มาสต์จากพฤติกรรมของนิโคลัส เป็นสาเหตุให้พ่อแม่ของเด็กๆ ในสมัยต่อมา แอบนำของขวัญมาวางไว้ที่เตียงนอนของลูกๆ ในตอนกลางคืน ยามที่พวกเขาหลับสนิท แล้วบอกว่าซานตาคลอสนำของขวัญมามอบให้ จนกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ยกย่องซานตาคลอสให้ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเด็กๆ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและนี่ก็คือ ตำนานความเป็นมาของกำเนิดซานตาคลอส นั่นเอง ทั้งนี้ภาพซานตาคลอสที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก คือ ชายแก่ใจดี หนวดเคราขาว พุงพลุ้ย ใส่โค้ทตัวหนาสีแดงขลิบขาว หอบข้าวของในถุงใบโตพะรุงพะรังที่เราคุ้นเคยกันนั้น เป็นฝีมือการวาดของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังชาวอเมริกัน ที่ชื่อว่า "โธมัส แนสท์" ซึ่งประมวลมาจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการส่วนตัว และภาพแรกของซานตาคลอสนี้ได้ปรากฏเป็นครั้งแรกในนิตยสาร harper's illustrated weekly ปี พ.ศ.1863 และกลายเป็นภาพลักษณ์ของซานตาคลอส มาจนถึงทุกวันนี้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดเสียมิได้ในวันคริสต์มาส คือ ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของวันคริสต์มาส ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากินและทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์ได้ทำการแสดงละคร ถึงความหมายของคริสต์มาส และได้นำต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่ายที่สุดในประเทศเหล่านั้น และได้ทำการแสดงเรื่อยมา จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้สั่งห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมืองและศาสนา ซึ่งชาวบ้านต่างรู้สึกเสียดาย ที่จะไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงนำความประทับใจและความสนุกเหล่านั้นมาจัดกันที่บ้านเรือนของตนเอง ด้วยการนำต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการประดับประดาตกแต่งต้นไม้ของตัวเองด้วยการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญกล่องเล็กกล่องน้อยอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวดวงโตเป็นยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนมก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ไว้ด้วยกัน มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้เป็นรูปทรงปิรามิด ซึ่งนี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบันที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวไว้ที่สุดยอด ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกจวบจนปัจจุบัน เพราะเห็นว่าพระเยซูเปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิตที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึงนิรันดรภาพของพระเยซู และนอกจากนั้นยังหมายถึงความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึงความชื่นชมยินดีและความสามัคคีที่พระเยซูประทานให้ และเมื่อเรื่องราวต่างๆ ที่มาจากคนละหนแห่งได้ถูกนำมาผูกโยงเป็นเรื่องราวเดียวกัน จนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เทศกาลคริสต์มาส จึงกลายเป็นเทศกาลแห่งความสุข ที่มีแต่ความสดใส รื่นเริง และเต็มไปด้วยร้อยยิ้มที่ทุกคนต่างพร้อมแบ่งปันความสุขกันในวันนี้
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลที่มา
วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558
ความจริงเรื่อง "กระดูก"
ความจริงเรื่อง "กระดูก"
กระดูกเป็นโครงสร้างของร่างกายที่ให้กล้ามเนื้อมาเกาะเพื่อทำหน้าที่เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย และยังป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้บาดเจ็บ ตลอดจนเป็นที่ผลิตเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวด้วย
ในผู้ใหญ่มีกระดูก 206 ชิ้น กระดูกที่ยาวที่สุดและแข็งแรงที่สุดคือกระดูกต้นขา (Femur)
กระดูกมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ ด้วยมีองค์ประกอบหลัก 3 อย่าง คือ คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีน ทำหน้าที่เป็นเส้นแกนโครงสร้างภายในที่มีความยืดหยุ่น โดยคอลลาเจนถูกยึดหุ้มด้วยแร่ธาตุ แคลซียม-ฟอสฟอรัส และธาตุอื่นเล็กน้อย ทำให้กระดูกแข็งและแข็งแรง และองค์ประกอบสุดท้ายคือเซลล์ของกระดูกที่ทำหน้าที่สร้างและสลายกระดูก
บางคนไม่ทราบว่ากระดูกมีชีวิต ที่จริงแล้ว กระดูกเป็นเนื้อเยื่อที่กำลังเจริญ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตลอดชีวิต มีการสลายกระดูกเก่าส่วนที่อ่อนแอออกไปและสร้างกระดูกใหม่ขึ้นแทนที่โดยเซลล์ของกระดูกในวัยเด็กและวัยรุ่นจะมีการสร้างกระดูกเร็วกว่าการสูญเสียกระดูก หลังจากเด็กและวัยรุ่นหยุดเพิ่มความสูงแล้ว (ประมาณอายุ 18 ปี) อัตราการสร้างกระดูกยังคงเพิ่มมากขึ้นกว่าการสูญเสียกระดูก จนกระทั่งกระดูกมีความหนาแน่นสมบูรณ์ (ประมาณอายุ 25 ปี) เรียกว่า มีมวลกระดูกสูงสุด (Peak bone mass) ถ้ากระดูกสมบูรณ์ มีมวลกระดูกมาก จะส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อายุยืนยาว ถ้ามวลกระดูกมีน้อย จะมีความโน้มเอียงที่กระดูกจะแตกหักได้ง่าย หรือมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ได้ในอนาคต
เมื่อถึงวัยสูงอายุ จะสูญเสียกระดูกมากกว่าการสร้าง หลังจากที่มีมวลกระดูกสูงสุด สมดุลของการสร้างและสลายของกระดูกจะคงที่ จนประมาณหลังวัย 40 ปี ทั้งชายและหญิง จะมีอัตราการสูญเสียกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูก โดยจะเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระดูกบางและอ่อนแอลง แต่ในหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงเร็วมาก กระดูกจะสูญเสียเพิ่มขึ้น คือบางลงเร็วมาก หลังวัยหมดประจำเดือนประมาณ 5-7 ปี ผู้หญิงอาจสูญเสียมวลกระดูกได้ถึง 20%
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) เป็นโรคอันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสูญเสียมวลกระดูกหรือมีการสร้างน้อย หรือทั้งสองประการ อันจะนำไปสู่กระดูกหัก ที่พบมากที่สุดประมาณ 50% ของกระดูกหักในผู้ใหญ่คือที่แขน ส่วนในเด็ก (ที่เป็นโรคกระดูกพรุน) คือที่ไหปลาร้า
เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี จึงมีความจำเป็นที่ทุกคนต้องดูแล ป้องกันกระดูกก่อนที่จะสายเกินไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: หนังสือพิมพ์มติชน โดย เภสัชกร ดร.เทพินทร์ พยัคฆชาติ
แอดมินแนะนำ เพจนี่เลยค่ะ ขอ อนุญาติแชร์ นะค่ะ
http://line.me/ti/p/%40ysw5504a
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ
วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ
นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์ช่วยราชการสำนักพระราชวัง ให้ความกระจ่างในเรื่องราวของจิ้งจกไว้อย่างน่าสนใจว่า “ที่ไหนมีจิ้งจกชุกชุมหรือมีตุ๊กแกหลายตัว แสดงว่าสภาพแวดล้อมที่นั้นอยู่ในขั้นสะอาดปลอดภัยไร้มลภาวะเป็นพิษ ปัจจัยนี้จึงทำให้จิ้งจกและตุ๊กแกพากันออกหาอาหารประเภทแมลงกันเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อมีแมลงมาก ก็แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ตรงนั้นปลอดมลพิษอากาศบริสุทธิ์ และเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลสารเคมี หรือยาฆ่าแมลงชนิดต่างๆ”
หมออลงกรณ์ กล่าวด้วยว่า สัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งจก ตุ๊กแก ถือเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตที่น่าสนใจ เป็นตัวกำจัดแมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมลงมีปีก เพื่อไม่ให้มีแมลงมากมายจนเกินไปนอกจากจิ้งจกแล้ว ก็ยังมีสัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งเหลน กิ้งก่า ที่เป็นสัตว์นักล่าแมลงตามพื้นอีกด้วย สัตว์ประเภทนี้ถือเป็นตัวแปรในการควบคุมปริมาณของแมลงชั้นดี ที่คนไม่ควรไปทำร้ายหรือฆ่าทิ้ง เพราะนอกจากเป็นการไม่สมควรแล้ว ยังเป็นการตัดวงจรชีวิตของสัตว์เลื้อยคลานประเภทนี้อีกด้วย ดังนั้นหากรำคาญจิ้งจกหรือตุ๊กแกจริงๆ เนื่องจากชอบพากันออกมาก่อกวน ทำให้บ้านสกปรกแนะนำให้ใช้วิธีดังนี้
เกร็ดน่ารู้ วิธีไล่จิ้งจกแบบง่าย ๆ
1. ใช้ผ้าชุบน้ำมัน ก๊าดผสมน้ำ แล้วนำไปวางตามมุมอับ หรือจุดที่มีสัตว์เหล่านี้อยู่ชุกชม กลิ่นเหม็นของน้ำมันก๊าด จะเป็นตัวไล่ให้จิ้งจกตุ๊กแกไม่กล้าเข้าใกล้
2. ใช้การบูร ลูกเหม็น นำไปวางไว้ตามมุมอับก็ใช้ได้เช่นกัน
3. ใช้น้ำหรือปืนฉีดน้ำฉีดไปที่เท้าของจิ้งจก ตุ๊กแก น้ำจะเข้าไปแทนที่สูญญากาศใต้พังผืดบริเวณเท้า ทำให้มันหล่นลงมา วิธีนี้ก็สามารถไล่ได้อีกวิธีหนึ่ง
วิธีไล่จิ้งจกโดยการใช้สมุนไพร : ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลแน่นอน ไม่ต้องฆ่าและไม่ต้องใช้สารเคมีอีกด้วย มีวัตถุดิบและวิธีการทำดังนี้
สูตรไล่จิ้งจก : ใบสาบเสือ 1 ส่วน, ใบน้อยหน่า 1 ส่วน
วิธีทำ : นำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าอย่างละเท่าๆ กัน ให้นำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าที่ได้มาตำหรือสับเป็นชิ้นๆ ผสมให้เข้ากัน เพื่อให้ได้กลิ่นสาบจากวัตถุดิบดังกล่าวออกมาจากนั้นนำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าที่ตำผสมเข้ากัน แล้วมาห่อผ้าด้วยผ้าที่มีอากาศระบายเพื่อให้กลิ่นเหม็นสาบออกมา และสะดวกในการนำไปใช้ นำไปวางหรือแขวนไว้ในบริเวณที่มีจิ้งจกและตุ๊กแกอาศัยอยู่ จิ้งจกและตุ๊กแกก็จะไม่มาอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นอีก
เป็นไงคะวิธีการไล่จิ้งจกให้ไม่มารบกวนเราง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ ถ้าบ้านเพื่อนๆ มีปัญหาเกี่ยวกับจิ้งจกมากวนใจอยู่ล่ะก็ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กับบ้านเพื่อนๆ ดูนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://decor.mthai.com/other/12903.html
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
...กัลยาณมิตรหาได้ไม่ง่าย หาไม่ได้สำหรับคนทั่วไป ไม่ใช่ภริยาทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของสามี ไม่ใช่สามีทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของภรรยา ไม่ใช่เพื่อนทุกคน เป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน
ผู้เป็นกัลยาณมิตรนั้น มีคุณสมบัติเป็นหลักสำคัญที่สุด คือความดี มีคุณธรรมประจำใจ พร้อมด้วยสติและปัญญา
ภรรยาสามี บุตรธิดา และ มิตรสหาย หรือผู้หนึ่งผู้ใด ที่ไม่มี คุณสมบัติดังกล่าวมา จึงไม่อาจเป็นกัลยาณมิตรได้
#สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก#
ขออนุญาติ แชร์ นะค่ะ >> http://line.me/ti/p/%40vds1984e
วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558
30 สุดยอดอาหาร ที่เป็นยาดีต่อสุขภาพ
30 สุดยอดอาหาร ที่เป็นยาดีต่อสุขภาพ
-เพิ่มพลังให้ร่างกาย
สำหรับใครที่อยากแข็งแรง และมีพลังเหลือเฟือ ก็ต้องกินอาหาร 3 อย่างต่อไปนี้ ที่เขาว่ากันว่า เปรียบเสมือนยาโด๊ปดี ๆ เชียวล่ะ
หอยนางรม - หอยทะเลชนิดนี้อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ที่จะช่วยให้ร่างกายรักษาพลังงานเอาไว้ได้นานขึ้น และช่วยให้ออกซิเจนไหลผ่านร่างกายได้อย่างสะดวก ดีต่อสมอง รวมไปถึงความดันโลหิตอีกด้วย
อกไก่ - โปรตีนที่อัดแน่นอยู่ในเนื้อไก่ไร้มันอย่างเนื้อส่วนอก จะช่วยชะลอการหลั่งของสารซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้เราหลับสบาย เป็นผลให้ร่างกายตื่นตัว และกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะถ้าไม่อยากง่วงในช่วงบ่าย ๆ ก็ลองสั่งเมนูอกไก่ทานในมื้อเที่ยงก็ได้ นอกจากนี้โปรตีนในอกไก่ยังช่วยเรื่องการเจริญเติบโตของกระดูก และช่วยควบคุมน้ำหนักด้วยค่ะ
ข้าวบาร์เลย์ - ในธัญพืชมีประโยชน์อย่างข้าวบาร์เลย์ จะมีสารเบต้ากลูแคน ซึ่งเป็นไฟเบอร์แคลอรี่ต่ำชนิดเดียวกับที่พบในข้าวโอ๊ต มีประโยชน์มหาศาลต่อเซลล์ในร่างกายมนุษย์ ช่วยชะลอความชรา และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ง่าย ๆ
-เสริมความแข็งแรงของกระดูก
เราเคยทราบกันมาบ้างแล้วว่า แคลเซียมมีส่วนสำคัญต่อกระดูกเป็นอย่างมาก และช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากปลาเล็กปลาน้อยที่อุดมไปด้วยแคลเซียมแล้ว อาหารต่อไปนี้ก็มีแคลเซียมไม่แพ้กันเลย
ผักกวางตุ้งฮ่องกง (Bok Choy) - ผักใบเขียวส่วนมากก็จะมีแคลเซียม แต่เป็นแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย และถ้ารับประทานทุกวันก็อาจจะตกผลึก เสี่ยงเป็นนิ่วได้ แต่ในผักกวางตุ้งฮ่องกง มีแคลเซียมออกซาเลตในปริมาณน้อย และเพียงแค่กินผักกวางตุ้ง 1 ถ้วยแกง ก็จะให้แคลเซียมได้เท่ากับการดื่มนม 1 แก้วเลยทีเดียว
นมพร่องมันเนย - ในน้ำนมอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งวิตามินดี แคลเซียม โพแทสเซียม และโปรตีน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย กระดูก และช่วยควบคุมน้ำหนัก
-จัดการอารมณ์วัยทอง
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนส่วนใหญ่จะทรมานกับอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ หรือมีอาการบ้านหมุน มึนหัวกันไม่น้อย และบ้างก็มีอาการหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล เหวี่ยงวีนคนรอบข้างให้วุ่นกันเป็นว่าเล่น ถ้าคนในครอบครัวคุณมีอาการเหล่านี้ เรามาจัดอาหารที่มีสรรพคุณช่วยยับยั้งอาการวัยทองให้เขาดังนี้ดีกว่าค่ะ
ผักโขม (Baby Spinach) - ผักโขมอุดมไปด้วยตามินเอ กรดโฟเลต แคโรทีน วิตามินซี โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี โปรตีน และไฟเบอร์ แถมมีสรรพคุณช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ปรับระดับฮอร์โมนที่ปรวนแปรให้คงที่
น้ำมันมะพร้าว - ไขมันในน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบติพิเศษที่ช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึมในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักไม่เกิน ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ในร่างกายนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ผมและผิวหนังได้อีกด้วย
โนริสาหร่าย - สาหร่ายชนิดนี้มีไอโอดีนสูง ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้อารมณ์ไม่ปรวนแปร และช่วยควบคุมน้ำหนักด้วยค่ะ
-ป้องกันโรคหัวใจ
ถ้าไม่อยากเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ก็ต้องเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง และช่วยป้องกันโรคหัวใจ ซึ่งได้แก่
แอปเปิล - ไฟเบอร์ในแอปเปิลจะช่วยขจัดคอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่อันตรายต่อสุขภาพหัวใจ หากมีในปริมาณมากก็อาจอุดตันหลอดเลือดหัวใจ เป็นเหตุให้เกิดโรคหัวใจขึ้นได้ อีกทั้งในแอปเปิลยังมีสารโพลีฟีนอลที่สามารถป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย
ป๊อปคอร์น - ลบความคิดที่ว่าป๊อปคอร์นเป็นอาหารขยะออกไปจากสมองด่วนเลยค่ะ เพราะผลวิจัยของสถาบันอาหารและยาได้ออกมาบอกแล้วว่า ป๊อปคอร์นอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และสารที่ช่วยการทำงานของโพลีฟีนอล จึงถือว่าเป็นของทานเล่นที่ดีต่อสุขภาพหัวใจมากเลยทีเดียว
ผลไม้จำพวกส้ม - ผลไม้จำพวกส้มที่มีรสเปรี้ยว และมีวิตามินซีสูง จะช่วยแก้ปัญหาเส้นเลือดเปราะ เลือดออกง่าย และภาวะเลือดไหลไม่หยุด นอกจากนี้ยังช่วยให้เลือดหมุนเวียนสะดวก ลดความเสี่ยงภาวะอุดตันในเส้นเลือด สาเหตุของโรคหัวใจ และโรคอัมพาต
-ช่วยในการมองเห็น
นอกจากผักบุ้งแล้ว สายตายังต้องการอาหารเหล่านี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการมองเห็นด้วยค่ะ
วอลนัท - วอลนัทอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 และอัลฟาลิโนเลนิก หรือ กรด ALA (alpha-linolenic acid ) ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา ลดความเสี่ยงเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบ และโรคต้อกระจก
ผักใบเขียวเข้ม - พวกผักใบสีเขียวเข้ม อย่างเช่น คะน้า อุดมไปด้วยสารอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า ซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในจอตา มีประโยชน์ในการป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสายตา ทานเป็นประจำก็จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพและลดความเสี่ยงเป็นต้อกระจกได้
-ป้องกันมะเร็ง
คงไม่มีใครอยากมีเนื้อร้ายที่เรียกกันว่ามะเร็งอยู่ในร่างกายเราแน่ ๆ ดังนั้นเรามาทานอาหารเหล่านี้เพื่อป้องกันโรคมะเร็งกันก่อนดีไหมคะ
เห็ดชิตาเกะ (เห็ดหอมญี่ปุ่น) - เห็ดชนิดนี้มีทั้งไฟเบอร์สูง และเลนติแนน (Lentinan) ซึ่งช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเนื้องอก รวมทั้งมีธาตุสังกะสีสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอีกด้วย
สตรอเบอร์รี - ผลไม้ตระกูลเบอร์รีชนิดนี้อุดมไปด้วยสาร fisetin ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และดีต่อสมอง
โยเกิร์ตรสธรรมดา - ผลการศึกษาของวารสารโรคมะเร็งนานาชาติในปี 2011 พบว่า กลุ่มคนที่รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมดาเป็นประจำ จะลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ถึง 35% เพราะในโยเกิร์ตอุดมไปด้วยโปรตีน ซึ่งมีส่วนช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอในร่างกายเรานั่นเอง
-ต่อสู้โรคเบาหวาน
โรคเบาหวานก็เป็นอีกโรคที่อันตรายต่อชีวิตไม่น้อยไปกว่ามะเร็ง ดังนั้นเราก็ควรกินอาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ดังนี้
บะหมี่โซบะ - บะหมี่โซบะมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งแมกนีเซียมก็เป็นสารที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน เพียงแค่รับประทานบะหมี่โซบะปริมาณครึ่งถ้วย ก็จะได้รับแมกนีเซียมครึ่งหนึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันเลยนะคะ
ถั่วดำ - ในถั่วดำมีสารต่อต้านแป้งที่ร่างกายไม่สามารถต่อต้านเองได้ จึงไม่ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดสูงขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้แบคทีเรียชนิดดีและเอนไซม์ในลำไส้มีฤทธิ์ต่อต้านอินซูลินด้วยค่ะ
-บำรุงสมอง
มีอาหารหลากหลายชนิดที่ช่วยบำรุงสมองของเรา และอาหารเหล่านี้ก็เช่นกัน
น้ำมันมะกอก - สารโพลีฟีนอลในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์มีส่วนช่วยป้องกันเซลล์สมองจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคความจำเสื่อม
องุ่นแดง - เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ในองุ่นแดง เป็นสารประกอบกลุ่ม Stibenes ซึ่งอยู่ในกลุ่มของโพลีฟีนอลอีกทีหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (Cardiovascular Disease) ขจัดคราบแอมีลอยด์ บีตา (beta-amyloid plaques) ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์
ชาเขียว - ในชาเขียวเองก็มีสรรพคุณช่วยป้องกันการเกิดคราบแอมีลอยด์ บีตา (beta-amyloid plaques) สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์เช่นกัน เนื่องจากมีโพลีฟีนอลนั่นเองค่ะ
-เพิ่มความอึดตอนออกกำลังกาย
หากรู้สึกเหนื่อยง่าย ออกกำลังกายแป๊ป ๆ ก็ต้องหยุดเพราะรู้สึกไม่ไหว ลองทานอาหารต่อไปนี้ดู เพราะจะช่วยให้คุณอึดและฟิตขึ้นมากเลยทีเดียว
เมล็ดเจีย (Chia Seeds) - เมล็ดเจียมีโปรตีนสูงมาก ขนาดแค่กินเมล็ดเจีย 28.5 กรัม ก็จะได้รับโปรตีนถึง 5 กรัมแล้ว ซึ่งสามารถช่วยฟื้นฟูกกล้ามเนื้อจากอาการอ่อนเพลียหลังออกกำลังกายได้ดีมาก ๆ ค่ะ
กล้วย - จากการทดลองของ Appalachian State University ที่ให้นักปั่นจักรยานกินกล้วยก่อนออกเดินทาง พบว่า นักปั่นจักรยานที่ได้กินกล้วยเข้าไป จะสามารถปั่นจักรยานได้นานกว่านักปั่นจักรยานที่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง อีกทั้งสารอาหารในกล้วยยังช่วยเรื่องการย่อยอาหาร และบำรุงหัวใจอีกด้วย
-แก้ปัญหานอนไม่หลับ
นอกจากนมที่ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นแล้ว อาหารต่อไปนี้ก็มีส่วนช่วยให้เราหลับง่ายขึ้นด้วยค่ะ
เมล็ดทานตะวัน - ในวันที่แสนวุ่นวาย ลองหยิบเมล็ดทานตะวันมากินเป็นของว่างดูบ้างก็ดี เพราะเมล็ดทานตะวัน 28.5 กรัม จะสามารถให้แมกนีเซียมกับร่างกายได้ถึงครึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และยังให้แร่ธาตุกับร่างกาย ซึ่งทั้ง 2 สารอาหารนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อรู้สึกผ่อนคลาย หลับสบายขึ้นนั่นเอง
ข้าวโอ๊ต - หากมีปัญหานอนไม่ค่อยหลับ แนะนำให้กินข้าวโอ๊ตก่อนนอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะข้าวโอ๊ตจะช่วยปรับระดับกรดอะมิโนทริปโตเฟน (tryptophan) ส่งผลให้สมองผลิตซีโรโทนิน (serotonin) และกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ร่างกายหลับเป็นเวลา
-ปรับการทำงานของลำไส้
สำหรับคนที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ ลองทานอาหารเหล่านี้ดูนะคะ รับรองว่าจะช่วยแก้ปัญหาลำไส้ให้คุณได้
ขิง - ในแถบเอเชีย เรากินน้ำขิงเพื่อลดอาการคลื่นไส้ และแก้อาการอาหารไม่ย่อยมานมนาน ซึ่งการแพทย์สมัยใหม่ก็สนับสนุนแนวการรักษานี้ และยังบอกด้วยว่า ขิงมีคุณสมบัติปรับการทำงานของลำไส้ให้ดีขึ้น และลดอาการปวดท้องได้ด้วย
เมล็ดควินัว (Quinoa) - แป้งที่ไม่เหมือนใครในเมล็ดธัญพืชชนิดนี้ได้ผ่านการทดสอบและวิจัยของสถาบันเคมีอาหารในปี 2012 มาแล้วว่า มีสรรพคุณช่วยป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร สาเหตุของเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ได้
-เผาผลาญไขมันส่วนเกิน
นับเป็นข่าวดีของคนกำลังผอมเลยใช่ไหมคะ ที่แค่กินอาหารเหล่านี้ ก็จะช่วยให้การไดเอตของเราประสบผลสำเร็จได้ง่ายขึ้นแล้ว
พริกป่น - ในพริกป่นมีสารแคปสินอยด์ (capsinoids) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเผาผลาญไขมันในเส้นเลือด โดยได้รับการยืนยันจากอาสาสมัครในการทดลองเมื่อปี 2009 ที่กินน้ำมันสกัดจากแคปสินอยด์วันละ 6 กรัมต่อวัน และพบว่า ในกลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ จะมีปริมาณไขมันน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กินน้ำมันสกัลจากแคปสินอยด์ถึง 5 เท่าเลยทีเดียว
เกรปฟรุต - ผู้เชี่ยวชาญได้บอกว่า สารนารินเจนิน (naringenin) ที่มีอยู่ในเกรปฟรุตมีส่วนช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน และหากกินก่อนอาหารทุกมื้อ ก็จะช่วยลดขนาดรอบเอวได้ด้วยล่ะ
ถั่วแระ - เมล็ดเล็ก ๆ มัน ๆ ของถั่วแระอุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีน ไขมันชนิดดี ที่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น และลดอาการอยากของหวาน ๆ อีกด้วย อย่างนี้บ่าย ๆ ก็จัดถั่วแระเป็นของว่างดีไหมคะ อร่อยแบบไม่อ้วน กินได้เพลิน ๆ ไปเลย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกดอทคอม
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558
สูตรแก้ปัญหารักแร้ดำ
เมื่อไรที่ใส่เสื้อแขนกุด สายเดี่ยวหรือเกาะอก หากจะต้องยกแขนขึ้น สาวๆ หลายคนอาจจะไม่กล้าเพราะไม่มีความมั่นใจในเรื่องผิวใต้วงแขนนั่นเอง หากใครประสบกับปัญหาผิวใต้วงแขนดำหรือภาษาบ้านๆ ก็คือรักแร้ดำ และหากคุณกำลังมองหาสูตรแก้ปัญหารักแร้ดำอยู่ วันนี้มาดูกันสิคะ เพราะเราหยิบมาฝากให้คุณทำตามง่ายๆ มากถึง 5 สูตรเลยทีเดียว
1.สูตรแตงกวา ขมิ้นและน้ำมะนาว
นำแตงกวามาล้างให้สะอาดปอกเปลือกจากนั้นนำไปปั่นจนละเอียด ผสมกับผงขมิ้นและน้ำมะนาว คนให้ส่วนผสมเข้ากันแล้วนำมาขัดถูผิวใต้วงแขน จากนั้นพอกทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาทีจึงล้างออก สูตรนี้สาวๆ ทำได้แทบทุกวันเลยค่ะ รับรองผิวใต้วงแขนจะขาวใสเนียนนุ่ม ผิวเรียบเนียนและมีความชุ่มชื้นสุดๆ
2.สูตรมะขามเปียกและน้ำผึ้ง
ขยำมะขามเปียกกับน้ำอุ่นให้ได้เนื้อมะขามแบบข้นๆ จากนั้นผสมกับน้ำผึ้งเล็กน้อยแล้วนำมาทาผิวใต้วงแขน ทิ้งไว้ 10 – 15 นาทีจึงล้างออก ทำวันเว้นวัน สูตรนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกและช่วยทำให้ผิวใต้วงแขนค่อยๆ ขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
3.สูตรมะนาว
ฝานมะนาวให้เป็นแว่นบางจากนั้นนำมาถูผิวใต้วงแขนแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีจึงล้างออก สูตรมะนาวนี้สาวๆ ทำได้ทุกวันเช่นกัน กรด AHA จากมะนาวที่ค่อนข้างสูงจะทำหน้าที่กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก หากทำแล้วแสบหรือระคายเคืองเกินไปจะทำวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละ 3 ครั้งก็ได้ รับรองผิวรักแร้ดำๆ จะหายไปเหลือผิวที่ค่อยๆ ขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
4.สูตรมันฝรั่ง
นำมันฝรั่งมาล้างให้สะอาดแล้วปอกเปลือกจากนั้นขูดให้เป็นเส้นฝอยๆ แล้วนำมาผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย โดยให้คั้นเอาแต่น้ำมันฝรั่งเท่านั้น เมื่อได้น้ำแล้วก็ใช้สำลีชุบแล้วนำมาทาตรงผิวใต้วงแขนหรือจะฝานเป็นแผ่นบางแล้วนำมาทาก็ได้เช่นกัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที ให้ทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน รับรองค่ะว่าผิวใต้วงแขนจะขาวขึ้นในเวลารวดเร็ว
5.สูตรน้ำตาลทรายแดงและน้ำมะนาว
ใช้น้ำตาลทรายแดง 1/2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมะนาว 1 ซีกผสมให้เข้ากันแล้วนำมาสครับผิวใต้วงแขนเบาๆ เสร็จแล้วปล่อยเอาไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีแล้วล้างให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออก ทำให้ผิวใต้วงแขนขาวเรียบเนียนใสขึ้น และยิ่งใครที่มักจะถอนหรือโกนขนรักแร้เป็นประจำ ใช้สูตรนี้แล้วรับรองจะช่วยให้สภาพผิวดีขึ้นแน่นอนค่ะ
เพียงหยิบเอาสูตรแก้รักแร้ดำในแบบที่สะดวก
ไปใช้เป็นประจำทุกวัน เชื่อว่าผิวรักแร้ดำจะต้องหมดไปเหลือเพียงรักแร้ขาวใสดั่งใจ
ต้องการแน่นอนค่ะ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
เครดิต :: เพจ 'ทางเดิน' , http://line.me/ti/p/%40vds1984e
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกแบบง่ายๆ สิวหลุด จมูกไม่แดง!!
วิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกแบบง่ายๆ สิวหลุด จมูกไม่แดง!!
ขอแนะนำวิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกแบบง่ายๆ เชื่อแน่ว่าทุกคนน่าจะมีปัญหาสิวเสี้ยนตามจุดต่างๆ บนใบหน้า โดยเฉพาะที่จมูกก็เลยมีวิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกแบบง่ายที่สุดมาบอกกันจ้า!
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาด
2. เกลือเม็ดละเอียด อย่างของเกลือปรุงทิพย์ก็ได้
3. น้ำมะนาว 1 ซีก
4. น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. เริ่มจากเอาผ้าขนหนูอุ่นโป๊ะที่จมูกซัก 10 นาที เพื่อให้สิวเสี้ยนที่เป็นไขมันที่อยู่ ในรูขุมขนโผล่ออกมาเจออากาศ มันจะเป็นก้อนแข็งๆ เพราะงั้นเราเลยต้องมา ละลายไขมันอุดตันด้วยความร้อนจากผ้า
2. พอไขมันเริ่มเหลวๆ ไหลออกมาเล็กน้อย เพื่อให้รูขุมขนเปิดซะก่อน
3. แล้วเอาเกลือ น้ำมะนาว น้ำผึ้ง ที่ผสมกันแล้ว มาโป๊ะแล้วนวด แบบเบามือ คลึงเบาๆ ซัก 10 นาที
4. หลังจากนั้นใช้ผ้าขนหนูอุ่นอันเดิมเช็ดออกเบาๆ
5. แล้วล้างหน้าด้วยน้ำปกติเพื่อให้รูขุมขนหดตัวลง
ขอขอบคุณข้อมูลจากจาก : HYLIFE HYSHOP และ bedtaledidea.blogspot.com
วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันรัฐธรรมนูญ 2558
วันรัฐธรรมนูญ
10 ธันวาคม ของทุกปี
ปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2558
10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ
10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และเป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทยเนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่ใช้กันมาเป็นเวลา 700 ปีเศษ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ
อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
รัฐบาลได้ออกกฎหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดินจากราษฎร
จากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฎิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอกพระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระยาฤทธิอาคเนย์เป็นผู้บริหารประเทศ
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ ได้แก่ การที่กำหนดว่า อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคล คณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ
พระมหากษัตริย์
สภาผู้แทนราษฎร
คณะกรรมการราษฎร
ศาล
ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฎิบัติราชการต่างๆจะต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎร จึงจะใช้ได้สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงจะมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้ว พิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม
ประวัติวันรัฐธรรมนูญ
กระทั่งถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวรซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมือง เป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งให้บริการราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตามคณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐซึ่งมีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์นั้น ได้บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็น ที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ
ประวัติรัฐธรรมนูญไทย
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ. 2475 มาจนถึงปัจจุบันรัฐธรรมนูญไทยมีทั้งสิ้นประมาณ 25 ฉบับ แต่ถ้านับเฉพาะฉบับที่สำคัญจะมีเพียง 18 ฉบับดังนี้ฉบับที่ 1. ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2427 ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 5 เดือน 13 วัน
ฉบับที่ 2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ประกาศใช้บังคับเมื่อ วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 13 ปี 5 เดือน
ฉบับที่ 3. รัฐธรรมนูญฉบับราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รวมอายุการประกาศและการบังคับใช้ 1 ปี 5 เดือน 28 วัน
ฉบับที่ 4. รัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 รวมอายุการประกาศใช้ 1 ปี 4 เดือน 14 วัน
ฉบับที่ 5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2492 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี 8 เดือน 6 วัน
ฉบับที่ 6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 ประกาศและบังคับใช้ วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2495 รวมอายุและประกาศบังคับใช้ 6 ปี 7 เดือน 12 วัน
ฉบับที่ 7. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 9 ปี 4 เดือน 20 วัน
ฉบับที่ 8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 3 ปี 4 เดือน 20 วัน
ฉบับที่ 9. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2515 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้เมื่อ วันที่ 15 ธันวาคม 2515 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 9 เดือน 22 วัน
ฉบับที่ 10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2517 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 2 ปี
ฉบับที่ 11. รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ประกาศและบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2519 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี
ฉบับที่ 12. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 รวมอายุการประกาศและบังคับใช้ 1 ปี 13 วัน
ฉบับที่ 13. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 (แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2528)
ฉบับที่ 14. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 15. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
ฉบับที่ 16. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ฉบับที่ 17. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2549 (ฉบับชั่วคราว)
ฉบับที่ 18. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (รัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ)
10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ
รายละเอียดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นรูปหล่อลอยตัว ประกอบด้วยรูปเล่มรัฐธรรมนูญในสมุดไทย ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า สร้างด้วยทองแดง มีความสูง 3 เมตร หนัก 4 ตัน ตั้งบนฐานรูปทรงกลมด้านบนโค้งกลม ลานอนุสาวรีย์ยกสูงมีบันไดโดยรอบ รอบนอกลานอนุสาวรีย์มีครีบทรงแบน อยู่ 4 ทิศ ที่โคนครีบ มีภาพแกะสลักลายปั้นนูน และมีรั้วเตี้ย ๆ กั้นโดยรอบลานอนุสาวรีย์ รั้วนี้ใช้ปืนใหญ่โบราณจำนวน 75 กระบอก ฝังดินโผล่ท้ายกระบอกขึ้นมา เป็นเสา คล้องโซ่เชื่อมต่อกัน
ครีบ 4 ด้าน สูงจากแท่นพื้น 24 เมตร มีรัศมียาว 24 เมตร หมายถึง วันที่ 24 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ครีบ 4 ด้าน สูงจากแท่นพื้น 24 เมตร มีรัศมียาว 24 เมตร หมายถึง วันที่ 24 ซึ่งเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พานรัฐธรรมนูญ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดป้อมกลางตัวอนุสาวรีย์ สูง 3 เมตร หมายถึง เดือน 3 หรือ เดือนมิถุนายน (ขณะนั้นนับเมษายนเป็นเดือนแรกของปี) ตรงกับเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยนั้น และหมายถึง อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ภายใต้รัฐธรรมนูญ (นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ)
ปืนใหญ่จำนวน 75 กระบอก (ปากกระบอกปืนฝังลงดิน) โดยรอบฐานของอนุสาวรีย์ที่มีโซ่เหล็กร้อยไว้ หมายถึงปีที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (เลข 75 เป็นเลขท้ายสองหลักของปี พ.ศ. 2475) ส่วนโซ่ที่ร้อยไว้ด้วยกันหมายถึงความสามัคคีพร้อมเพรียงของคณะปฏิวัติ
ลายปั้นนูนที่ฐานครีบทั้ง 4 เน้นถึงเรื่องราวการดำเนินงานของคณะราษฎรตอนที่นัดหมายและแยกย้ายกันก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
พระขรรค์ 6 เล่ม ที่รายล้อมรอบป้อมกลางตัวอนุสาวรีย์ หมายถึง หลัก 6 ประการของคณะราษฎร
รายละเอียดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ตราไว้ ณ วันที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนากาลเป็นอดีตภาค ๒๕๕๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม สูกรสมพัดสร สาวนมาส ชุณหปักษ์ เอกาทสิดิถี สุริยคติกาล สิงหาคมมาส จตุวีสติมสุรทิน ศุกรวาร โดยกาลบริเฉท
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้นําความกราบบังคมทูลว่า การปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ดําเนินวัฒนามากว่าเจ็ดสิบห้าปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการประกาศใช้ ยกเลิก และแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหลายครั้ง เพื่อให้เหมาะสมแก่สภาวการณ์ของบ้านเมืองและกาลสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ได้บัญญัติให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้น มีหน้าที่จัดทําร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับสําหรับเป็นแนวทางการปกครองประเทศ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางทุกขั้นตอนและนําความคิดเห็นเหล่านั้นมาเป็นข้อคํานึงพิเศษ ในการยกร่างและพิจารณาแปรญัตติโดยต่อเนื่อง
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่จัดทําใหม่นี้มีสาระสําคัญเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันของประชาชนชาวไทย ในการธํารงรักษาไว้ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ การทํานุบํารุงรักษาศาสนาทุกศาสนาให้สถิตสถาพร การเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นมิ่งขวัญของชาติ การยึดถือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นวิถีทางในการปกครองประเทศ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ให้ประชาชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการปกครอง และตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐอย่างเป็นรูปธรรม การกําหนดกลไกสถาบันทางการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ให้มีดุลยภาพและประสิทธิภาพตามวิถีการปกครองแบบรัฐสภา รวมทั้งให้สถาบันศาล และองค์กรอิสระอื่นสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสุจริตเที่ยงธรรม
เมื่อจัดทําร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว สภาร่างรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบและจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อให้ความเห็นชอบแก่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ การออกเสียงลงประชามติ ปรากฏผลว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบให้นําร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้บังคับ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติจึงนําร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ให้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยสืบไป ทรงพระราชดําริว่าสมควรพระราชทานพระบรมราชานุมัติตามมติของมหาชน
จึงมีพระบรมราชโองการดํารัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ขึ้นไว้ ให้ใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ซึ่งได้ตราไว้ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป
ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธํารงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอํานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนํามาซึ่งความผาสุกสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคลอเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎรทั่วสยามรัฐสีมา สมดั่งพระบรมราชปณิธานปรารถนาทุกประการ เทอญ
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
มีชัย ฤชุพันธุ์
ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ขอขอบคุณแหล่งที่มา
วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558
เครื่องดื่ม 6 ชนิดที่แนะนำดื่มก่อนอน
เครื่องดื่ม 6 ชนิดที่แนะนำดื่มก่อนอน
เราจะนำเครื่องดื่มทั้งหมด 6 อย่างมาวัดกันให้เห็นลยว่า คืนนี้ควรดื่มอะไรก่อนนอนกันดีนะ?
อันดับที่ 6 : ชามะลิอุ่นๆหอมๆ
กลิ่นหอมอ่อนๆของชาดอกมะลิที่ช่วยให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า ไม่น่าเชื่อว่าจริงๆแล้วกลิ่นหอมนี้ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ตาสว่างได้อีกด้วย ดังนั้นใครที่ดื่มชามะลิอุ่นๆ ดื่มก่อนนอน ระวังคืนนี้จะนอนไม่หลับโดยไม่รู้ตัว
อันดับที่ 5 : โกโก้ร้อนหอมอร่อย
โกโก้ร้อน เครื่องดื่มที่เด็กๆดื่มได้ผู้ใหญ่ดื่มดี เครื่องดื่มสีเข้มๆกลิ่นหอมเหมือนขนมนี้ มีส่วนประกอบของคาเฟอีนที่มีคุณสมบัติช่วยให้ตาสว่าง ถึงแม้จะมีปริมาณไม่มาก แต่ถ้าดื่มก่อนนอนก็อาจจะทำให้นอนไม่หลับได้เหมือนกันนะ
อันดับที่ 4 : น้ำผึ้งผสมมะนาวอุ่นๆ
ความหวานของน้ำผึ้งที่ช่วยให้ร่างกายคลายความเหนื่อยล้า กับรสชาติเปรี้ยวๆของมะนาวที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆสำหรับผ่อนคลายความเหนื่อยล้าของร่างกาย เพียงแต่รถชาติของน้ำมะนาวอาจจะหนักเกินไปสำหรับการดื่มก่อนนอน หากดื่มเข้าไปแล้วอาจจะทำให้สดชื่นจนนอนไม่หลับเลยก็ได้นะ
อันดับที่ 3 : น้ำผักกาดหอมปั่นเพื่อสุขภาพ
ไม่น่าเชื่อว่าผักใบเขียวๆ ที่หลายคนไม่ชอบเพราะกลิ่นแรง จะสามารถช่วยทำให้นอนหลับสบายได้ด้วย เพราะว่าในใบและก้านของผักกาดหอม มีสารรสขมที่มีชื่อว่า “แลคทูคาเรียม” ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย และมีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับ จึงทำให้เราสามารถนอนหลับได้ง่ายยิ่งขึ้น
อันดับที่ 2 : นมร้อน อบอุ่นอ่อนโยน
เครื่องดื่มที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ยิ่งได้ดื่มแบบอุ่นๆยิ่งทำให้ผ่อนคลายสบายท้อง แต่สาเหตุที่ทำให้เราดื่มนมแล้วนอนหลับสบายไมได้มีเพียงแค่นั้น เพราะในนมมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่า “ทริปโตเฟน” ซึ่งมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มความง่วงนอนให้เราได้
อันดับที่ 1 : ชาสมุนไพร (ชาดอกคาโมมายล์) หอมผ่อนคลาย
อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าดอกคาโมมายล์มีคุณสมบัติที่ช่วยในการคลายกล้ามเนื้อ และเส้นประสาท ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ยิ่งถ้าเป็นชาที่ทั้งอุ่นทั้งหอม ถ้าได้ดื่มก่อนนอนก็จะทำให้สบายท้องนอนหลับสบายมากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัวเลยล่ะ
ที่มาบทความจาก หนังสือ น้ำสมุนไพร เพื่อสุขภาพ
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันเอดส์โลก 1 ธันวาคม วันต้านเอดส์โลก
วันต้านเอดส์โลก วันเอดส์โลก
1 ธันวาคม ของทุกปี
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดเอา วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีเป็น“วันโลกต้านเอดส์” (WORLD AIDS DAY) และในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2532 ถือว่า เป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก
ในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2532 ถือว่าเป็นวันโลกต้านเอดส์ครั้งแรก มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์หลายรูปแบบพร้อมกันทั่วโลก
โดยตั้งความหวังไว้ว่า
1.จะพยายามหยุดยั้งโรคเอดส์
2.ให้ความเห็นใจ ห่วงใย ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์
3.ให้ทุก ๆ คนได้รู้เรื่องโรคเอดส์
1.จะพยายามหยุดยั้งโรคเอดส์
2.ให้ความเห็นใจ ห่วงใย ต่อผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยโรคเอดส์
3.ให้ทุก ๆ คนได้รู้เรื่องโรคเอดส์
จากการที่องค์การอนามัยโลก ได้ให้ความสำคัญของโรคเอดส์ดังกล่าว ย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า โรคเอดส์เป็นโรคที่มีความรุนแรง มีผลกระทบต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมและต่อประเทศชาติ ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย
โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome) AIDS
A = Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด หรือไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง ความเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการของโรค ซึ่งมีอาการหลายลักษณะตามระบบต่าง ของร่างกาย
A = Acquired หมายถึง ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด หรือไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
I = Immune หมายถึง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง ความเสื่อม
S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการของโรค ซึ่งมีอาการหลายลักษณะตามระบบต่าง ของร่างกาย
โรคเอดส์ (AIDS) หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า เอชไอวี (HIV) ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้กันต่ำลงเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกไวรัสทำลายและเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาซ้ำเติมในภายหลัง (เรียกว่าโรคฉวยโอกาส) เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ
เชื้อไวรัสเอดส์นี้มีหลายสายพันธุ์
เชื้อไวรัสเอดส์นี้มีหลายสายพันธุ์
สายพันธุ์หลักดั้งเดิม ได้แก่ เอชไอวี-1 (HIV-1) ซึ่งแพร่ระบาดในแถบสหรัฐอเมริกา ยุโรป และแอฟริกา กลาง
สายพันธุ์เอชไอวี-2 (HIV-2) แพร่ระบาดในแถบแอฟริกาตะวันตก นอกจากนั้นยังมีสายพันธุ์ย่อยอื่น ๆ อีกมากมายตามเวลาที่ผ่านไป ทั้งนี้เนื่องจากเชื้อไวรัสเอดส์นี้สามารถกลายพันธุ์ได้ง่าย
อาการติดเชื้อเอดส์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1
กลุ่มผู้ที่ตรวจพบเชื้อไวรัสเอดส์แต่ยังไม่ปรากฎอาการผิดปกติแต่อย่างใด บุคคลกลุ่มนี้จัดเป็นพาหะนำโรคซึ่งสามารถแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้อย่างไม่จำกัดจำนวนนับว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ เพราะผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป็นเวลานาน หากไม่มีการตรวจพบเชื้อจะไม่มีทางทราบได้เลย ว่าบุคคลนี้มีเชื้อไวรัสเอดส์อยู่ในร่างกาย จนกว่าจะมีอาการป่วยปรากฎออกมาให้เห็น
กลุ่มผู้ที่ตรวจพบเชื้อไวรัสเอดส์แต่ยังไม่ปรากฎอาการผิดปกติแต่อย่างใด บุคคลกลุ่มนี้จัดเป็นพาหะนำโรคซึ่งสามารถแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้อย่างไม่จำกัดจำนวนนับว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ เพราะผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เป็นเวลานาน หากไม่มีการตรวจพบเชื้อจะไม่มีทางทราบได้เลย ว่าบุคคลนี้มีเชื้อไวรัสเอดส์อยู่ในร่างกาย จนกว่าจะมีอาการป่วยปรากฎออกมาให้เห็น
ระยะที่ 2
เป็นอาการที่พบได้ก่อนที่จะปรากฎอาการป่วยเป็นโรคเอดส์ (AIDS-Relate Complex) หรืออาจเรียกว่า กลุ่มอาการ ARC หมายถึง กลุ่มที่มีอาการ จะสังเกตได้จากอาการเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุในระยะนี้สามารถตรวจพบภูมิคุ้มกันในเลือดของผู้มีอาการนำ หรืออาจจะสังเกตลักษณะของอาการได้ดังนี้
1.มีไข้สูงเกิน 37.8 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานานไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
2.น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 4.5 กิโลกรัม หรือมากว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวเดิมภายใน 2 เดือน
3.ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายหลายแห่งบวมโตนานกว่า 3 เดือน
4.อุจจาระร่วงเรื้อรังนาน 1-3 เดือน
5.เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีเหงื่อออกตอนกลางคืน และพบว่าร้อยละ 20 ของกลุ่ม ARC จะมีอาการลุกลามไปเป็นโรคเอดส์ในเวลาต่อมา
6.แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งจะไม่มีเรี่ยวแรงและทำงานไม่ประสานกัน
เป็นอาการที่พบได้ก่อนที่จะปรากฎอาการป่วยเป็นโรคเอดส์ (AIDS-Relate Complex) หรืออาจเรียกว่า กลุ่มอาการ ARC หมายถึง กลุ่มที่มีอาการ จะสังเกตได้จากอาการเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุในระยะนี้สามารถตรวจพบภูมิคุ้มกันในเลือดของผู้มีอาการนำ หรืออาจจะสังเกตลักษณะของอาการได้ดังนี้
1.มีไข้สูงเกิน 37.8 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานานไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
2.น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 4.5 กิโลกรัม หรือมากว่าร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวเดิมภายใน 2 เดือน
3.ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายหลายแห่งบวมโตนานกว่า 3 เดือน
4.อุจจาระร่วงเรื้อรังนาน 1-3 เดือน
5.เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย มีเหงื่อออกตอนกลางคืน และพบว่าร้อยละ 20 ของกลุ่ม ARC จะมีอาการลุกลามไปเป็นโรคเอดส์ในเวลาต่อมา
6.แขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งจะไม่มีเรี่ยวแรงและทำงานไม่ประสานกัน
ระยะที่ 3
เป็นระยะที่กลุ่มผู้ป่วยจะปรากฎอาการของโรคเอดส์ซึ่งอาการในระยะนี้แบ่งตามอาการที่ปรากฏออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือการติดเชื้อชนิดฉวยโอกาส และอาการของโรคมะเร็ง
กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์ สามารถแยกออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1.กลุ่มมีเพศสัมพันธ์ผิดธรรมชาติหรือสำส่อนทางเพศ เช่น กลุ่มรักร่วมเพศชาย กลุ่มรักต่างเพศ
2.กลุ่มผู้ติดยาเสพติด
3.กลุ่มที่รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด
4.กลุ่มที่ได้รับเลือดจากมารดา
เป็นระยะที่กลุ่มผู้ป่วยจะปรากฎอาการของโรคเอดส์ซึ่งอาการในระยะนี้แบ่งตามอาการที่ปรากฏออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือการติดเชื้อชนิดฉวยโอกาส และอาการของโรคมะเร็ง
กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์ สามารถแยกออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้
1.กลุ่มมีเพศสัมพันธ์ผิดธรรมชาติหรือสำส่อนทางเพศ เช่น กลุ่มรักร่วมเพศชาย กลุ่มรักต่างเพศ
2.กลุ่มผู้ติดยาเสพติด
3.กลุ่มที่รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด
4.กลุ่มที่ได้รับเลือดจากมารดา
กิจกรรมวันเอดส์โลก ที่นิยมทำกันในวันเอดส์โลก
1. เดินรณรงค์ประสานใจต้านภัยเอดส์
2. จัดริ้วขบวนแฟนซี
3. การจัดแสดงนิทรรศการความรู้ เรื่่องโรคเอดส์
4. สัปดาห์รณรงค์เนื่องในวันเอดส์โลก
2. จัดริ้วขบวนแฟนซี
3. การจัดแสดงนิทรรศการความรู้ เรื่่องโรคเอดส์
4. สัปดาห์รณรงค์เนื่องในวันเอดส์โลก
สัญลักษณ์ของวันเอดส์โลก
สัญลักษณ์ของ วันเอดส์โลก คือ โบว์สีแดง (Red Ribbon) เป็นสัญลักษณ์ของวันเอดส์โลก ที่ใช้กันทั่วโลก เพื่อแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี โพซิทีฟ (HIV-positive) กับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเอดส์ทั้งหลาย
คำขวัญวันเอดส์โลก
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2531 Communication about AIDS: เอดส์ป้องกันได้ หากร่วมใจกันทั่วโลก
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2532 Importance of Youth in the AIDS Epidemic: เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ช่วยผู้ตกเป็นเหยื่อเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2533 Women are the Key to achieving health for all : สุขภาพดีไม่มีเอดส์ สตรีเพศเป็นแกนนำ
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2534 Sharing the Challenge: ร่วมมือ ร่วมใจ ต้านภัยเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2535 AIDS : A Community Commitment: เอดส์เป็นปัญหาของทุกคน ประชาชนต้องร่วมแก้ไข
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2536 Time to Act : จริงจัง จริงใจ ขจัดภัยเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2537 AIDS and the Family : Family Takes Care -ครอบครัวทั่วไทย ห่วงใยปัญหาเอดส์ ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2538 Share Right , Share Responsibility : เคารพสิทธิ์ รับผิดชอบ มอบน้ำใจ สังคมไทยปลอดเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2539 One World , One Hope : โลกนี้ยังมีหวัง รวมพลังหยุดยั้งเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2540 Children Living in a world with AIDS : สร้างสรรค์โลกใหม่ ให้เด็กไทยไร้เอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2541 Force for change world Aids campaign with young people : คนรุ่นใหม่ ร้อยใจ รวมพลัง หยุดยั้งเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2542 Listen , Learn , Live : รู้เขา รู้เรา รู้เท่าทันเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2543 Men make a difference : เอดส์ลดหรือเพิ่ม เริ่มที่ผู้ชาย
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2544 I care….Do you? : เอดส์ลดแน่ ถ้าคุณร่วมแก้ไข
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2545 Stigma and Discrimination – Live and Let Live : ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2546 Stigma and Discrimination – Live and Let Live : ทุกชีวิตมีคุณค่า โปรดอย่าตัดสินด้วยคำขวัญวเอดส์โล เอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2547 Woman, girls, HIV and AIDS : เยาวชนรุ่นใหม่… เข้าใจเรื่องเพศ…ร่วมป้องกันเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2548 Stop AIDS Keep the promise : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2549 Stop AIDS. Keep the Promise – Accountability : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2550 Stop AIDS. Keep the Promise – Leadership : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2551 Stop AIDS. Keep the Promise – Lead – Empower – Deliver : เอดส์หยุดได้ ร่วมใจรักษาสัญญา
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2552 Universal Access and Human Rights : เข้าถีงยา เข้าถึงสิทธิ์ พิชิตเอดส์
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2553 Act Aware : สิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ คือ สิทธิมนุษยชน
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2554 Getting to zero : เอดส์ ลดแล้ว…ลดอีก
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2555 Getting to zero : เอดส์ลดให้เหลือศูนย์ได้
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2556 Getting to zero: zero new HIV infections. Zero discrimination. Zero AIDS related deaths” เน้น zero new HIV infections ลดการติดเชื้อรายใหม่
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2557 “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา: ร่วมยุติปัญหา เอดส์และเพศสัมพันธ์”
- คำขวัญวันเอดส์โลก พ.ศ. 2558 “Ending AIDS” ตรวจเร็ว รักษาเร็ว ยุติเอดส์
ข้อมูลที่มา “มูลนิธิเข้าถึงเอดส์”
1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์
โทรได้ทุกวัน 09.00-21.00 น.
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์
www.aidsaccess.com
www.cdc.gov/hiv/
1663 สายด่วนปรึกษาเอดส์
โทรได้ทุกวัน 09.00-21.00 น.
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์
www.aidsaccess.com
www.cdc.gov/hiv/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
-
“Lost Stars” Please don’t see just a boy caught up in dreams and fantasies ได้โปรดอย่ามองเห็นผมเป็นเพียงแค่เด็กชายที่หลงไหลอยู่ในโลกแ...
-
Dial Gauge (นาฬิกาวัด) การใช้นาฬิกาวัดชนิดมาตรฐานและชนิดคาน ภาพที่ 8.10 ขาตั้งนาฬิกาวัด นาฬิกาวัดทั้ง 2 ชนิดไม่สามารถจะใช้ได้เองโด...
-
ใบวัดมุม (Bevel Protractor) 7.1.1 ลักษณะส่วนประกอบของใบวัดมุม ลักษณะงานที่ใช้วัดด้วยใบวัดมุม การผลิตชิ้นงานให้ได้ขนาดตามแบบกำหนดบางครั้งจะ...