น้ำพริกเป็นเมนูอาหารพื้นบ้านที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปตามแต่ละภาคและพื้นที่ ด้วยน้ำพริกเป็นเมนูที่มีส่วนประกอบจากเครื่องปรุงที่หาได้ทั่วไปตามแต่ละท้องถิ่น ปรุงได้ง่ายและเก็บได้นาน และมีรสชาติที่อร่อยถูกปาก ทานกับข้าวหรือทานกับผักเคียงก็อร่อย แถมได้คุณค่าทางอาหาร และเป็นเมนูที่มีไขมันและพลังงานไม่สูงมากนัก ซึ่งเมนูวันนี้ขอนำเสนอ น้ำพริกตามแบบฉบับชาวเหนือ ที่มีรสชาติอร่อยครบรส เปรี้ยว เค็ม หวาน นั้นคือ น้ำพริกอ่องนั้นเอง
น้ำพริกอ่องแบบชาวเหนือ
น้ำพริกอ่องถือเป็นน้ำพริกที่นิยมทานกันในภาคเหนือของไทย เป็นน้ำพริกชนิดผัดผ่านความร้อน มีน้ำขลุกขลิก ลักษณะคล้ายๆน้ำพริกแกงส้มของทางภาคกลาง โดยน้ำพริกอ่องนั้นจะมีส่วนประกอบหลักๆคือ เครื่องสมุนไพร ถั่วเน่า และ มะเขือส้ม ด้วยประโยชน์ของส่วนประกอบจึงนำเมนูนี้มาดัดแปลงโดยการลดความมันลง และเลือกเครื่องเคียงที่จะนำมาทานด้วยอย่างผักสดๆ ก็ทำให้น้ำพริกอ่องมันเยิ้มในจินตนาการกลายเป็น อาหารเพื่อสุขภาพที่เต็มไปด้วยคุณค่าอาหารจานนึงเลยทีเดียว
ส่วนผสมและอุปกรณ์
- หมูสับไม่มัน 200 กรัม ส่วนนี้ให้พลังงาน 290 kcal
- มะเขือส้ม หรือ มะเขือเทศสีดา 10-15 ผล หั่นครึ่ง ส่วนนี้ให้พลังงาน 45 kcal
- ต้นหอมซอย 1 ต้น ส่วนนี้ให้พลังงาน 2 kcal
ส่วนผสมสำหรับทำเครื่องแกงน้ำพริกอ่อง
- กะปิ 1 ช้อนแกง ส่วนนี้ให้พลังงาน 20 kcal
- พริกแห้งดอกใหญ่ เผ็ดตามความชอบ หอมแดง 7 หัว ส่วนนี้ให้พลังงาน 10 kcal
- กระเทียม 5 กรีบ ส่วนนี้ให้พลังงาน 6 kcal
- ถั่วเน่า หรือ เต้าเจี้ยวดำ 1 ช้อนเเกง ส่วนนี้ให้พลังงาน 33 kcal (ใส่ก็ได้ไม่ส่ก็ได้)
- น้ำตาลตะโหนด เล็กน้อย ส่วนนี้ให้พลังงาน 15 kcal
- น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนชา ส่วนนี้ให้พลังงาน 60 kcal
วิธีการทำน้ำพริกอ่อง
เริ่มจากการโขลกเครื่องแกงเสียก่อนโดยนำหอมแดง กระเทียม พริกแห้ง กระปิ และ ถั่วเน่า โขลกให้ละเอียด จากนั้นนำกระทะตั้งไฟเติมน้ำมันรำข้าวลงไป นำเครื่องแกงที่โขลกไว้ลงผัด ตามด้วยหมูสับ ผัดให้สุก เติมน้ำเล็กน้อย แล้วเติมมะเขือส้มลงไป ผัดจนมะเขือสุกนิ่ม ตัดความเค็มด้วยน้ำตาลตะโหนดเล็กน้อย ชิมรสให้ได้ 3 รส ตักขึ้นโรยด้วยต้นหอมซอย ถือเป็นเสร็จสิ้นกระบวนการ
เสิร์ฟพร้อมกับผักสดอย่าง แตงกวา ผักกาดขาว ทานคู่กับข้าวกล้อง หรือไข่ต้มก็เข้ากัน พลังงานตามสูตรอยู่ที่ 481 kcal สำหรับเมนูนี้อาจมีปริมาณโซเดี่ยมซักหน่อย จึงควรบริหาร เครื่องเคียงที่ทานคู่กันให้เหมาะสม และควรหลีกเลี่ยงเครื่องเคียงสุดอ้วนอย่างแคปหมูจะดีกว่า
แหล่งข้อมูล : http://www.lovefitt.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น