วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Technical Room-017: มารู้จัก มาตรฐานและรหัส (Standard and Code)

มาตรฐานและรหัส (Standard and Code)


มาตรฐาน หมายถึง การจัดหรือกำหนดรายละเอียดของชิ้นส่วนวัสดุ หรือขบวนการต่างๆ ที่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประสิทธิภาพและรายละเอียดทางด้านคุณภาพของชิ้นส่วน ความมุ่งหมายที่สำคัญอันหนึ่งของมาตรฐานก็คือ การกำหนดรายละเอียดต่างๆ ของชิ้นส่วน เครื่องมือแต่ละอย่างขึ้นเพื่อประโยชน์ในการจัดของ เตรียม สำรอง ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการทำงาน

รหัส หมายถึง การจัดรายละเอียดสำหรับการวิเคราะห์ การออกแบบ การผลิต และการสร้างสิ่งต่างๆ จุดมุ่งหมายของรหัสก็เพื่อให้ได้มาซึ่งระดับของความปลอดภัย ประสิทธิภาพ สมรรถนะหรือคุณภาพของสิ่งนั้นๆ

รายละเอียดของมาตรฐาน รหัสความปลอดภัยหรือรหัสการออกแบบ ได้จัดตั้งขึ้นโดยองค์การหรือสมาคมต่างๆ และการตั้งชื่อขององค์การและสมาคมต่างๆ ที่ควรทราบในทางวิศวกรรม มีดังนี้


  1. Aluminium Association (AA)
  2. American Gear Manufacturer Association (AGMA)
  3. American Institute of Steel Construction (AISC)
  4. American Iron and Steel Institute (AISI)
  5. American National Standard Institute (ANSI)
  6. American Soceity of Mechanical Engineering (ASME)
  7. American Soceity of Metal (ASM)
  8. American Soceity os Testing and Materials (ASTM)
  9. American Welding Soceity (AWS)
  10. British Standard Institute (BSI)
  11. International Standards Organization (ISO)
  12. Soceity of Automotive Engineers (SAE)
  13. Japanese Industrial Standard (JIS)
  14. Deutoche Industrie Norm (DIN)
ที่มา หนังสือ design of machine elements ของคุณอนันต์ วงศ์กระจ่าง

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สถานที่เที่ยวในประเทศเวียดนาม/เรียบเรียงข้อมูลโดย ADMIN / SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)


สถานที่เที่ยวในประเทศเวียดนาม


เรียบเรียงข้อมูลโดย ADMIN / SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

ซินจ่าว..เวียดนาม
 เวียดนามเหนือ 
 ฮานอย 
     ฮานอย ฮานอยเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 1553 มีอายุ 1,000 ปี ซึ่งเป็นปีที่จักรพรรดิลีไทโด ทรงสถาปนาพระราชวังทังลองขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้ ตลอดช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงชื่อเมืองอีกหลายครั้ง ฮานอย แปลว่า เมืองบนฝั่งโค้งของแม่น้ำ นับเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดเล็กที่มีความสวยงามมากตลอดสองฟากถนนเราสามารถเห็นตึกสไตล์โคโลเนียลอยู่เรียงรายสองข้างทาง
     ฮานอย ในภาษาเวียดนาม ฮา แปลว่า แม่น้ำ นอย แปลว่า ข้างใน ฮานอยตั้งอยู่ใจกลางสันดอนลุ่มแม่น้ำแดงในภาคเหนือของประเทศ มีทะเลสาบน้อยใหญ่ถึง 18 แห่ง มีทะเลสาบประจมเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุด และมีทะเลสาบใจกลางกรุงที่ขึ้นชื่ออย่าง โฮฮว่านเกี๋ยม นับเป็นเมืองหลวงขนาดเล็กที่มีเสน่ห์ไม่แพ้เมืองหลวงของประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย ดังนั้นเมื่อคุณเดินทางมาถึงฮานอยจุดแรกที่ควรไม่ควรพลาดคือการไปริ่มต้นที่ ทะเลสาบฮว่าเกี๋ยม ซึ่งเป็นย่านการค้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มีถนนสายเล็กๆ 36 สายตัดสลับกันไปมา ชาวเวียดนามเรียกถนนสายนี้ว่า บาเมื่อยซัวโฟเฟือง แปลว่า36 ถนน ชาวต่างชาติจะรู้จักกันในชื่อ โอลด์ควอเตอร์ หรือถนน 36 สาย บรรยาศของตลาดนี้คล้ายกับเยาวราชในประเทศไทย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งโรงแรม เกสต์เฮาส์ บริษัทนำเที่ยว ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นย่านเก่าในเมืองฮานอย
 สถานที่ท่องเที่ยวในฮานอย 
 สุสานโฮจิมินห์
     โฮจิมินห์ หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า บั๊กโฮ ซึ่งแปลว่าลุงโฮ ฯ นั้น ถือเป็น รัฐบุรุษอันดับหนึ่งของชาวเวียดนามตลอดกาล
เพราะ โฮจิมินห์ เป็นแกนนำสำคัญในการปลดแอกเวียดนามจากการยึดครองของฝรั่งเศส และในเวลาต่อมาก็ยังเป็นผู้ที่สามารถรวมเวียดนามเหนือ-ใต้ ให้กลายเป็นประเทศเวียดนามเพียงหนึ่งเดียวโดยสมบูรณ์ในสงครามเวียดนามอีก ด้วย
     โฮจิมินห์ เสียชีวิตในวันที่ 2 กันยายน 1969 ซึ่งตรงกับวันชาติเวียดนามพอดี ทางรัฐบาลเวียดนามจึงประกาศว่า โฮจิมินห์ เสียชีวิตในวันที่ 3 กันยายาน 1969 แทนเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศในการเฉลิมฉลองวันชาติ
 การเชิดหุ่นกระบอกน้ำ 
     ตั้งอยู่หลังโรงละครฮานอย ค่าเข้าชม 15,000 ดอง สำหรับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์หรือชาวเวียตนามเรียก Bao Tang Lich แห่งนี้เป็นอดีตเป็นสถาบันวิจัยทางโบราณคดีของสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบุรพทิศ (Ecole Hrancaise d’Extreme Orient) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2453 สร้างใหม่ปี 2469 ก่อนจะเปิดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งสิ่งที่นำมาจัดแสดงไว้ที่นี่ครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์เวียตนามทุกสมัย เป็นโบราณวัตถุที่หาดูได้ยากยิ่ง มีกลองสำริดโบราณ ซึ่งเป็นศิลปะอันงดงามของพวกจากที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยชาม และเจ้าแม่กวนอิมปางประหลาด รวมถึงห้องจัดแสดงของใช้สิ่งของต่างๆ ของกษัตริย์ 13 พระองค์แห่งราชวงศ์เหวียน หากชอบเกี่ยวกับโบราณคดีคุณจะได้สัมผัสรากฐานแห่งอารยธรรมได้ดีทีเดียว
 ฮาลองเบย์ 
     สำหรับอ่าวฮาลอง หรือ ฮาลองเบย์ นั้นได้ตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นเสมือนประกาศนียบัตรที่ใครเห็นต่างเชื่อถือ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศเวียดนาม ต้องล่องเรือมาชมอ่าวฮาลองเพื่อสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
     สำหรับการเที่ยวอ่าวฮาลองนอกจากได้ชมความงามของทิวทัศน์แล้วยังมีพาขึ้นไปชมถ้ำอีกด้วย เช่น ถ้ำเด่าโก๋ (Thien Cung) หรือที่เรียกกันว่า "ถ้ำสวรรค์" ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยตระการตา โดยในถ้ำแห่งนี้มีห้องโถงใหญ่รอรับคนเดินทางอยู่ด้วยกัน 3 ห้อง
 จากถ้ำอันสวยงามนี้ก็เดินทางต่อจะเป็นโปรแกรมพายเรือและเล่นน้ำ เพื่อจะได้สัมผัสอ่าวฮาลองอย่างใกล้ชิด หรือหากไม่ชอบเล่นน้ำจะทิ้งเวลาไปกับทิวทัศน์อันสวยงามหรือเก็บภาพความทรงจำ ก็ได้ 
     ราตรีที่เมืองฮาลองปัจจุบันเมืองฮาลองได้เติบโตแบบรวดเร็ว แหล่งท่องเที่ยวมีทั้งร้านอาหาร บาร์เบียร์เล็กๆ รวมทั้งร้านขายของที่ระลึก เปิดแผงกันเหมือนตลาดโต้รุง มีสินค้าให้เลือกช้อปปิ้งกันมากมาย...
 ซาปา 
     ทันทีที่ลงจากรถตู้หน้าโรงแรมที่พัก ก็พบกับอากาศที่สดชื่นเย็นสบายในยามเช้า บรรยากาศที่นี่ต่างกับเมืองอื่นๆของเวียดนามอย่างสื้นเชิง รถราบนถนนมีน้อยมาก ผู้คนที่นี่ใช้วิธีเดินเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเด็กนักเรียน จะเดินไปโรงเรียนในระยะทางประมาณ 2-3 กม. เป็นภาพที่ดูแล้วน่าประทับใจมาก ซาปา เดิมเป็นเมืองตากอากาศของชาวฝรั่งเศสเมื่อครั้งที่ปกครองเวียดนาม เป็นเมืองเล็กๆ บนหุบเขาที่สูงเหยียดฟ้า อากาศที่นี่หนาวเย็นตลอดปี ฤดูหนาวบางปีมีหิมะตกที่ยอดเขา นอนที่โรงแรมก็อาจมองเห็นหิมะปกคลุมตามยอดเขา ตามยอดหญ้าหน้าโรงแรมก็มีแม่คะนิ้งให้เห็น ซาปา น่าเที่ยวที่สุดก็น่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว คนเวียดนาม หรือฮานอย มาเที่ยวกันมาก คล้ายกับมาเที่ยวเมืองเชียงใหม่ในบ้านเรา แต่บรรยากาศที่นี่ต่างกันมาก ผู้คนไม่มากนัก ตามในเมืองจะเห็นชาวเขาเผ่าต่างๆมากมาย มาขายของที่ตลาดสด และขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว ช่วยสร้างสีสันให้กับซาปาเป็นอย่างมาก
 เวียดนามกลาง 
 ฮอยอัน 
     เมืองฮอยอัน (Hoi An) เป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ทางตอนกลางของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกว่างนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
     Trieu Chau Assembly Hallในสมัยของอาณาจักรจามปา บริเวณนี้เคยเป็นเมืองท่าบนปากแม่น้ำทูโบน ซึ่งมีชื่อว่า ไฮโฟ โดยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 มีชาวต่างชาติมาตั้งถิ่นฐานและค้าขายในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และอินเดีย เดิมทีเมืองนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีคลองสายหนึ่งคั่นอยู่กลางเมือง มีสะพานญี่ปุ่นทอดข้ามคลองเพื่อกั้นแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง ตัวสะพานสร้างโดยชาวญี่ปุ่น มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
     ฮอยอันเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ผู้มาเยือนมักมาเยี่ยมชมร้านค้าขายผลงานทางศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเปิดเรียงรายอยู่มากมายซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่มีอยู่มากมาย
 
 อุโมงค์วินห์ม็อก
     วินห์ม็อก มีสถานที่หนึ่งที่เป็นประวัติศาสตร์สำคัญของชาวเวียดนาม นั่นคืออุโมงค์หลบภัยใต้ดิน เนื่องจากการทิ้งระเบิดอย่างหนักของทหารอเมริกา ซึ่งคนทั้งหมู่บ้านช่วยกันแอบขุดในตอนกลางคืน หรือขุดในขณะที่มีเสียงปืน เสียงระเบิด ขนดินทิ้งทะเลเพื่ออำพรางไม่ให้ข้าศึกรู้ ในปี 1966
     วินห์ม็อก เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่มีความสำคัญในสงครามเวียดกง ใช้เวลาในการขุด 20 เดือนซึ่งสามารถนำชาวบ้านเข้าไป หลบภัยได้จำนวน 380 คน ภายในอุโมงค์นี้จะมีทั้งห้องนอน ห้องพยาบาล ห้องประชุมขนาด 50-60 คน ห้องอาบน้ำ บ่อน้ำดื่ม และชาวบ้านเหล่านี้อาศัยอยู่ในอุโมงค์ถึง 5 ปี อีกทั้งตลอดระยะเวลาดังกล่าว มีเด็กที่เกิดในอุโมงค์นี้จำนวนประมาณ 16 คน หลังจากเสร็จสิ้นสงครามเด็กเหล่านี้ก็จะมาคอยดูแลรักษาอุโมงค์แห่งนี้ และคอยบริการนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือนด้วย 
 
 พระราชวังเว้
     พระราชวังเว้หรือวังหลวงแห่งเมืองเว้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๗ ในรัชกาลแห่งพระเจ้ายาลอง (Gia Long) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหงวียน ที่ไทยมักคุ้นในชื่อ องเชียงสือ สถานที่แห่งนี้นับเป็นหัวใจสำคัญของเมืองมาหลายยุคสมัย แม้ในปัจจุบันพระราชวังได้กลายสภาพจากศูนย์กลางราชอาณาจักรไปเป็นใจกลางของการท่องเที่ยวในฐานะ 1 ใน 3 ของมรดกโลกในเวียดนาม ไปแล้ว
     พระราชวังเว้มีกำแพงโดยรอบที่วัดความยาวได้ราว 2.5 กิโลเมตร แบ่งเป็นส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนในอันเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ เมื่อเราเดินผ่านประตูเที่ยงวัน (Cua Ngo Mon) ก็จะพบสะพานน้ำทองที่ทอดตรงเข้าไปสู่พระราชวังไท ฮวา หรือที่เรียกว่า ท้องพระโรง ใช้ต้อนรับพระราชวงศ์ชั้นสูงและทูต ที่นี่มีเสาไม้สีแดงต้นใหญ่มากมาย ทั้งหมดเขียนลายมังกรสีเหลืองด้วยเทคนิคงานเครื่องรักเขียนสีแบบเวียดนาม เมื่อทะลุผ่านไปจะพบลานกว้าง มีอาคารชั้นเดียวหลังคามุงกระเบื้องแบบจีนอยู่ทางขวาคือส่วนที่เป็นพิพธภันฑ์ จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ของราชสำนักเวียดนาม
 
 วัดเทียนมู่
     ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของริมแม่น้ำหอมของประเทศเวียดนาม ทางไปสุสานของพระเจ้ามิงห์หม่าง วัดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซน จุดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือ เจดีย์ทรงเก๋ง 8 เหลี่ยม สูงลดหลั่นกัน 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นตัวแทนของชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ส่วนทางฝั่งซ้ายและขวาเป็นที่ตั้งของศิลาจารึกและระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 กิโลกรัม ถัดมาทางด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่บริเวณภายในวัด มีรูปปั้นเทพเจ้า 6 องค์ คอยยืนเฝ้าปกป้องไม่ให้ความชั่วร้ายเข้ามาเยือนและวัดแห่งนี้เองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองในช่วงยุคหลังของเวียตนาม เมื่อพระภิกษุทิกกวางหยุก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ได้ใช้รถออสตินสีฟ้าคันเล็กเป็นพาหนะไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน ในช่วงสายของวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2506 เพื่อประท้วงการบังคับให้ประชาชนไปนับถือศาสนาคริสต์และการฉ้อราษฎร์บังหลวงของรัฐบาลโงดินห์เดียมที่เป็นคาทอลิก รวมทั้งใช้ความรุนแรงขัดขวางการฉลองวันวิสาขบูชาของประชาชนในประเทศ ปัจจุบันรถออสตินสีฟ้าคันนั้นได้ถูกเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ภายในวัดแห่งนี้
 
 สุสานไดคิงห์
     ใช้เวลา 11ปี สุสานนี้สร้างในสมัยพระเจ้าไคดิงห์ กษัตริย์องค์ที่ 12 ของราชวงศ์เหงียน ขณะยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกก็คือพระองค์ได้มีการขึ้นภาษีเพื่อนำเงินมาสร้างสุสานของะระองค์เองเมื่อ คศ.1923 สร้างความเดือดร้อนและความเกลียดชังไปทั่ว พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุ ติดยา หรือสารเสพติด เช่นเดียวกับพระบิดา เมื่อ ค.ศ 1925 รวมอายุ 40 ปี จากนั้นสุสาน แห่งนี้ได้ทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน และไม่มีรัฐบาลชุดใดให้ความสนใจ ต่อมาจึงได้มีการบูรณะเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่นานมานี้เอง ภายในสุสานจะพบภาพเขียนที่สวยงามมีชื่อว่า 'มังกรในม่านเมฆ' เป็นภาพบนเพดาน โดยจิตรกรผู้นี้ใช้เท้าเขียน
 
 ลงเรือมังกร ล่องแม่น้ำหอม 
     แม่น้ำหอม หรือที่ชาวเวียดนามออกเสียงว่า ซงเฮือง กำเนิดมาจากบริเวณต้นน้ำที่อุดมไปด้วยดอกไม้ป่าที่ส่งกลิ่นหอมและร่วงหล่นลอยมากับสายน้ำ แม่น้ำหอมเป็นแม่น้ำสายสั้นๆ น้ำจึงไม่ลึกแต่ใสสะอาด ไหลผ่านธรรมชาติที่งดงามสองฟากฝั่ง ทั้งแมกไม้ วัดวาอาราม รวมถึงสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน การนั่งเรือมังกรล่องลำน้ำหอมจึงนับเป็นโปรแกรมท่องธรรมชาติ มีให้เลือกหลายรูปแบบตั้งแต่ การล่องเรือไปตามลำน้ำเพื่อแวะขึ้นชมพระราชสุสานของเหล่าจักรพรรดิราชวงศ์เหวียน หรือล่องจากตัวเมืองเว้สู่วัดเทียนมู่เพื่อชมเจดีย์ 8 เหลี่ยม 7 ชั้น อันงดงาม ระหว่างทางคุณยังจะได้พบกับหมู่บ้านชาวน้ำให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ชาวบ้านเหล่านี้ใช้เรือเป็นที่อยู่อาศัย มีอาชีพจับปลา ขุดทรายในแม่น้ำมาขายให้พ่อค้าคนกลาง ส่วนในยามเย็นนั้นนักท่องเที่ยวนิยมใช้เวลาหลังอาหารค่ำลงเรือล่องลำน้ำหอม โดยเรือจะไม่ล่องไปไกลเหมือนในตอนกลางวัน แต่จะปล่อยให้เรือล่องลอยไปตามสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ท่ามกลางศิลปินนักร้อง นักดนตรี ที่มาฟ้อนรำและบรรเลงเพลงพื้นบ้านให้ฟังกันสดๆ ซึ่งในอดีตการฟ้อนรำและการบรรเลงเพลงพื้นบ้านนี้ เป็นการเล่นถวายให้กับจักรพรรดิเท่านั้น 
 
 เวียดนามใต้
 
 ทะเลทรายมุยเน่  
     ทะเลทรายสีเหลืองทอง ท่านสามารถเล่นสไลเดอร์บนสันทราย ขับรถ ATV หรือนั่งรถจิ๊บขึ้นไปดูบนยอดเขาทะเลทราย
 
 Fairy Stream 
     ซุ่ยเทียน(Fairy Stream) หรือ เราขอเรียกว่า แคนยอนแห่งเวียดนาม อยู่ทางเวียดนามภาคใต้ของประเทศเวียดนาม ที่ซุ่นเทียนจะมีความแตกต่างจากแพะเมืองผี บ้านเรา โดยจะมีลำธารที่เราต้องเดินลุยไประดับน้ำประมาณตาตุ่มเท่านั้น การเดินชมควรมีเวลาอย่างอย่าง 1 ชั่วโมง ระหว่างเส้นทางจะเป็นดินที่ผ่านน้ำผ่านลม จนมีลักษณะดังในรูป ดินสีแดงและสีขาวตัดกันเกิดเป็นลีลาทางธรรมชาติสวยงาม หากได้มาเที่ยวทะเลทรายมุยเน่ที่เวียดนามใต้แล้วไม่ควรพลาดที่จะเข้ามาชมความสวยงามและอลังการของซุ่ยเทียน
 
 ทะเลสาบพาราไดซ์
     ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองดาลัดประมาณ 5 กิโลเมตร ทะเลสาบพาราไดซ์ หรือ ตู้เหยีนลัม เป็นสถานที่ที่เหมาะในการมาพักผ่อน สามารถมองเห็นทะเลสาบสีเขียวมรกตกับทิวสนที่ยืนต้นตระหง่านปกคลุมทุกขุนเขา การนั่งเคเบิ้ลคาร์ สามารถมองเห็นเมืองดาลัดได้ทั้งเมือง เห็นป่าอันงดงาม
 
 สวนดอกไม้ดาลัด 
     เมืองดาลัดเป็นเมืองหนาวมีการปลูกดอกไม้อยากแพร่หลาย ดอกไม้ที่ปลูกที่เมืองดาลัดได้ถูกส่งไปขายในเมืองดาลัดเองและเมืองอื่นของเวียดนามด้วย มีชาวต่างประเทศไปลงทุนทำสวนดอกไม้ที่ดาลัดในเทคโนโลยี่ต่างๆทำให้ดอกไม้ของดาลัดออกดอกและส่งขายได้ตลอดทั้งปี สภาพอากาศของเย็นทำให้เมืองดาลัดมีดอกไม้ที่สวยงาม นอกจากมีดอกไม้แล้วยังมีผักเมืองหนาวอย่างเช่น: กะหล่ำปลีและกะหล่ำดอก ดอกไม้ที่ได้รับความนิยมคือ กุหลาบ ไฮเดรนเยีย (ภาษาเวียดนาม cam tu Cau) นอกจากนี้ยังมีผลไม้นานาชนิดเช่น สตรอเบอร์รี่, ใบหม่อน, มันเทศ
 
 อุโมงค์กู๋จี
     เป็นเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมถึงกันในอำเภอกู๋จีในไซ่ง่อน (ปัจจุบันคือ โฮจิมินห์ซิตี) และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ อุโมงค์กู๋จีเป็นที่ตั้งของการทัพหลายครั้งระหว่างสงครามเวียดนาม และเป็นฐานปฏิบัติการของเวียดกง เมื่อครั้งการรุกเทศกาลตรุษญวนในปี ค.ศ. 1968
อุโมงค์ดังกล่าวถูกใช้โดยกองโจรเวียดกงเป็นจุดซ่อนตัวระหว่างการปะทะ เช่นเดียวกับเป็นเส้นทางสื่อสารและเสบียง โรงพยาบาล สถานที่เก็บอาหารและอาวุธและที่พักอาศัยของนักสู้กองโจรจำนวนมาก ระบบอุโมงค์ดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเวียดกงในการต่อสู้กับทหารสหรัฐ จนกระทั่งสหรัฐต้องถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามใต้ในที่สุด



ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.scholidaytour.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539545037





  เรียบเรียงโดย : SJ (Tonan Asia Autotech)