ที่ตั้ง : ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองหลวงพระบาง ใกล้บริเวณที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง
ปีที่สร้าง : พ.ศ.
2102 – 2103
รัชสมัย : พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
เวลาเปิด–ปิด : 06.00
a.m. – 05.30 p.m.
ค่าธรรมเนียมเข้าชม : 20.000 Kip/คน
ไฮไลท์ของการมาเยือนเมืองหลวงพระบางคงหนีไม่พ้นการได้มาเที่ยวชม "วัดเชียงทอง" ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญและมีความงดงามที่สุดแห่งนี้ จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว วัดเชียงทองถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หลังจากสร้างวัดนี้ไม่นานพระองค์ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ และวัดนี้ยังได้รับการอุปถัมภ์ดูแลจากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงศ์และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว เมื่อเดินทางมาถึงวัดนี้สิ่งแรกก็คือการไปชมพระอุโบสถหรือที่ภาษาลาวเรียกว่า“สิม” แม้ขนาดจะดูไม่ใหญ่โตแต่ก็แสดงถึงสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น ลดหลั่นเกือบจรดฐานจนแลดูค่อนข้างเตี้ย ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองซึ่งชาวลาวจะเรียกว่า“ช่อฟ้า” ประกอบด้วย 17 ช่อ อันมีความหมายว่าเป็น
“สิม” (หรืออุโบสถ) ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้น ส่วน “สิม” ที่คนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้าเพียง 1-7 ช่อเท่านั้น เชื่อกันว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตรงกลางของช่อฟ้าเคยใช้เป็นที่เก็บของมีค่า ปัจจุบันเหลือเพียงช่องว่างเปล่าๆ ถัดมาที่ส่วนของหน้าบันมี “โหง่” รูปร่างคล้ายเศียรนาคเป็นส่วนประดับตามคติธรรมทางพุทธศาสนาเมื่อเดินเข้าต่อมาที่ประตูพระอุโบสถจะสะดุดตากับลวดลายแกะสลักอันสวยงามเช่นเดียวกับที่หน้าต่าง
ผนังภายในก็สวยงามด้วยลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ เล่าเรื่องพุทธประวัติพระสุธน-มโนราห์ ทศชาติชาดกและภาพนิทานเพื่อนบ้าน ลึกเข้าไปคือพระประธานซึ่งมีชื่อว่า “พระองค์หลวง” นอกจากวัดเชียงทองจะมีพระอุโบสถที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านช้างแล้ว การตกแต่งลวดลายตามผนังภายในก็สวยงามไม่แพ้กัน อย่างบริเวณผนังด้านหลังของพระอุโบสถก็มีการตบแต่งด้วยการนำกระจกสีมาตัดต่อกันเป็นรูปต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ด้านข้างก็ติดเป็นรูปสัตว์ในวรรคดี ยามบ่ายที่แสงแดดส่องสะท้อนลงมาดูงดงาม
ด้วยพระหัตถ์ที่รองรับพระเศียรไว้อย่างสง่างามและอ่อนช้อย พระพุทธรูปนี้เคยนำไปจัดแสดงที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปีพ.ศ.
2474 และไปประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนนำกลับมายังหลวงพระบางในปีพ.ศ. 2507 ส่วนวิหารด้านหลังพระอุโบสถคือ “หอพระม่าน” ภายในประดิษฐาน “พระม่าน” ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ "พระบาง" จนหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นองค์เดียวกัน
ในช่วงวันบุญขึ้นปีใหม่ของลาว(ช่วงวันสงกรานต์) จะมีการอัญเชิญ “พระม่าน” ลงมาเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำและกราบไหว้ เรื่องราวภายในผนังด้านหลังวิหารนี้เป็นภาพประดับกระจกสีเล่าเรื่องวิถีชีวิตของผู้คน สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2493 เพื่อเฉลิมฉลองที่โลกก้าวสู่ยุคกึ่งพุทธกาล ด้านหลังหอพระม่าน เป็นที่ตั้งของพระธาตุศรีสว่างวงศ์ ซึ่งเป็นที่เก็บอัฐิของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกับรั้วเป็นโรงเก็บเรือใกล้กับริมแม่น้ำโขง ส่วนด้านหน้าพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของหอกลองมีลวดลายลงรักปิดทองสวยงามบนเสา นอกจากนั้นในบริเวณวัดเชียงทองเมื่อท่านเดินเข้าไปทางด้านถนนโพธิสารราช ด้านขวามือจะต้องสะดุดตากับอาคารทรงโบราณมีลวดลายแกะสลักทาสีทองอร่าม
ขนาดใหญ่ซึ่งคนลาวเรียกว่า “โรงเมี้ยนโกศ”หรือเป็นโรงเก็บพระโกศ, พระราชรถ, ราชยานของเจ้าชีวิตศรีสว่างวัฒนา ซึ่งสิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2502 และได้สร้างโรงเมี้ยนโกศแห่งนี้ขึ้นในปีพ.ศ. 2505
ภายในมีลักษณะเป็นโถงกว้าง
ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกเพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้ บริเวณกลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งของราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน
มีพระโกศ 3 องค์ ตรงกลางเป็นโกศองค์ใหญ่
ของเจ้าศรีสว่างวัฒนา องค์เล็กด้านหลังเป็นของพระราชมารดา
ส่วนองค์เล็กด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา โรงเมี้ยนโกศนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และแกะสลักโดยช่างหลวงพระบางที่ชื่อ “เพียตัน” เมื่อครั้งที่รับราชการอยู่ในพระมหาราชวัง นับเป็นช่างฝีมือชั้นเอกประจำพระองค์ของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของโรงเมี้ยนโกศ คือบริเวณผนังด้านนอกที่ “เพียตัน” แกะสลักไว้อย่างงดงามลงด้วยสีทองสุก เล่าเรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่นด้านบนสุดเป็นตอนพิเภกกำลังบอกความลับเรื่องที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์กับพระราม, พระลักษณ์และนางสีดา ถัดลงมาเป็นตอนที่ทศกัณฑ์ต้องศรของพระรามเสียบเข้าที่หัวใจ เป็นต้น เดิมที่ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นลักษณะการลงรักปิดทองที่สวยงามต่อมามีการบูรณะใหม่ โดยทาสีทองทับลงไปดังที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้ภายในวัดเชียงทองยังมีเขตสังฆาวาส ประกอบด้วยกุฏิ, สถูปเจดีย์ ดัง เช่นวัดทั่วๆ
ไปและยังมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น