วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

เทศกาลไหว้พระจันทร์ / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

ขนมไหว้พระจันทร์ เช็คพลังงาน กะปริมาณก่อนทาน
ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงกันแล้ว ถึงแม้บ้านเราจะไม่ค่อยได้เห็นใบไม้ร่วมากนัก แต่หลายๆที่ก็ยึดทีมนี้มาเป็นสีสันกัน และแน่นอนเทศกาลนึงที่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยในหมู่คนจีน และคนไทยเชื้อสายจีนที่มากับฤดูใบไม้ร่วงนี้ก็คือ “เทศกาลไหว้พระจันทร์” นั้นเอง

เทศกาลไหว้พระจันทร์คืออะไร

เทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือ เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นเทศกาลตามวัฒนธรรมของจีนที่จะมีขึ้นในช่วงฤดูใบไหม้ร่วง เพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวพืชผล มักตรงกับวันเพ็ญเดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติ (ประมาณเดือนกันยายนตามปฏิทินสากล)ของทุกปี
ในประเทศที่มีคนเชื้อสายจีนอย่าง จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, สิงคโปร์ หรือเวียดนาม หรือแม้แต่ประเทศไทย จะมีการจัดประเพณีนี้ด้วยการจัดประดับตกแต่งโคมไฟหลากสีในยามค่ำคืน และมีการเซ่นไหว้เทพเจ้า และรำลึกถึงเทพธิดาดวงจันทร์ ด้วยขนมเค้กใส่ไส้ธัญพืช หรือขนมไหว้พระจันทร์ จนเป็นเอกลักษณ์สำหรับเทศกาลนี้ไปเลยก็ว่าได้

ขนมไหว้พระจันทร์ ขนมยอดนิยมประจำเทศกาล

ขนมไหว้พระจันทร์ ที่ใช้เซ่นไหว้เทพเจ้าในเทศกาลนี้จะ มีตัวขนมเค้กใส่ไส้ ธัญพืช หรือเรียกว่า “ขนมเอี้ยปิ่ง” ในภาษาจีน ซึ่งมีความหมาย หมายถึง ความพรั่งพร้อม สมบูรณ์ และความสมหวัง นอกจากนี้ยังมี ขนมถั่วเหลือง(ขนมโก๋อ่อน) ขนมโก๋ขาว โดยขนมทั้งหมดจะมีทรงเป็นทรงกลมที่เป็นสัญลักษณ์ของรูปดวงจันทร์
สำหรับขนมไหว้พระจันทร์ในปัจจุบัน ถือว่าเป็นขนมที่ได้รับความนิยมและขาดไม่ได้ในเทศกาล ผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ จึงพากันออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบของตัวเองที่มีความหลากหลาย ทั้งวัตถุดิบและไส้ต่างๆ มีทั้งเป็นแบบดัดแปลง เป็นไอศครีมเย็นๆ หรือเป็นแบบเนื้อนุ่มแบบไดฟูกุ(ขนมญี่ปุ่น) และแบบดั้งเดิมที่ทำจากแป้งลักษณะคล้ายขนมเปี๊ยะใส่ไส้ธัญพืช ตกแต่งลวดลายสวยงาม

พลังงานในขนมไหว้พระจันทร์

ซึ่งขนมไหว้พระจันทร์ถือว่าเป็นขนมที่มีปริมาณพลังงานต่อชิ้นสูง จากข้อมูลที่ ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัยได้ให้ไว้ ขนมไหว้พระจันทร์แบบดั้งเดิมที่เป็นไส้ธัญพืช ภายในมีไข่แดงของไข่เค็มอยู่ จะให้พลังงานต่อชิ้นเฉลี่ยสูงถึง 614-722 kcal เลยทีเดียว โดยพลังงานจะมากหรือน้อยแตกต่างกันไปตามไส้ต่างๆดังนี้
พลังงานต่อขนมไหว้พระจันทร์ 1 ชิ้น
ไส้หมอนทอง640 kcal
ไส้โหงวยิ้ง722 kcal
ไส้พุทรา577 kcal
ไส้เมล็ดบัว646 kcal
ไส้เมล็ดบัวและไข่เค็ม677 kcal
ไส้ทุเรียนและไข่เค็ม673 kcal
พลังงานที่มีอยู่ในขนมไหว้พระจันทร์ส่วนมากจะมาจาก แป้ง น้ำตาล และ ไขมัน ซึ่งหากต้องการรับประทานควรแบ่งทาน ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ทานหลายๆครั้ง หรือแบ่งทานหลายๆคน กำหนดปริมาณที่พอเหมาะพอดี และ อย่าลืมไปออกกำลังกายเพื่อให้เกิดสมดุลกับการใช้พลังงานจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด 
ขอบคุณข้อมูลจาก:

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

เทศกาลกินเจ ปี 2558 / Admin SD (Tonan Asia Autotech)



          เทศกาลกินเจ 2558 เริ่ม 13-21 ตุลาคม อยากรู้ไหมว่า ประวัติเทศกาลกินเจเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องกินเจ เรามีข้อมูลมาฝาก

          เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) ของทุกปี เราจะเห็นธงสีเหลือง ๆ มีตัวอักษรจีนประดับอยู่ตามร้านอาหาร และที่ต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ว่า เริ่มเข้าสู่เทศกาลกินเจแล้ว โดยในปี 2558 ปฏิทินจีนพบว่า เทศกาลกินเจ ตรงกับวันที่ 13-21 ตุลาคม 2558
          แต่บางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง และวันนี้เราก็มีความรู้เกี่ยวกับเทศกาลกินเจมาฝากค่ะ ...
 ความหมายของเจ

          คำว่า "เจ" ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ" เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

          "การกินเจ"ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

         ช่วงเวลากินเจ 

          ประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เก้าอ๊วงเจ" หรือ "กิ้วอ๊วงเจ" แปลว่า "เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล) โดยคำว่า "เก้าอ๊วง" หรือ "กิ้วอ๊วง" แปลว่า "พระราชา 9 องค์" หรือนพราชา หมายถึงผู้เป็นใหญ่ทั้ง 9 ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีกินผักกินเจ

 เทศกาลกินเจ 2558 เริ่มวันไหน

          สำหรับเทศกาลกินเจ 2558 จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม ไปสิ้นสุดในวันที่ 21 ตุลาคม 2558

ความหมายของ "ธงเจ" 

          ในช่วงเทศกาลกินเจ เราจะสังเกตเห็นธงประจำเทศกาล โดยมีพื้นธงเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับคนสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มกษัตริย์ ราชวงศ์ และกลุ่มอาจารย์ปราบผี ดังจะเห็นจากยันต์สีเหลืองตามภาพยนตร์จีน ดังนั้นสีเหลืองจึงเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล บนธงจะเขียนตัวอักษรสีแดง อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" เหตุที่ใช้สีแดง เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นสีมงคง สร้างความเจริญให้แก่ชีวิต

          ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงกินเจ

 ทำไมต้องกินเจ เรากินเจเพื่ออะไร

          จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ 

           1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ

           2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้

           3. กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น



กินเจ

ตำนานการกินเจ 

           ตำนานที่มาของการกินเจ มีเรื่องเล่าอยู่ถึง 7 เรื่องได้แก่ 

           ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชนทั้ง 9 

          เทศกาลกินเจเริ่มขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้รุกรานอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และต้องตายก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ

           ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า 

          เชื่อว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ดาวนพเคราะห์" ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาจะสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ และแต่งกายด้วยชุดขาว

           ตำนานที่ 3 เก้าอ๊องฝ่ายมหายาน 

          กล่าวไว้ว่า การกินเจเป็นพิธีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ "เก้าอ๊อง")

          ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ

           ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง 

          เชื่อว่า การกินเจกินเจเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่ง เป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง ประเพณีนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง

           ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย 

          เมื่อ 1,500 ปีก่อน ณ มณฑลกังไสซึ่งเป็นแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋น บู๊ ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่า อีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสา และเพ่งญาณเห็นว่า ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญลีฮั้วก่าย

          คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่า มีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไป และประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อน และผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย

          เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของ เศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องฮ่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)

           ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง 

          มีชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ เล่าเซ็ง เข้าใจผิดว่า แม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่มาเข้าฝันว่า ตนตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ และหากลูกต้องการพบให้ไปที่เขาโพถ้อซัว บนเกาะน่ำไฮ้ ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งจึงขอตามเพื่อนบ้านไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย โดยเพื่อนบ้านให้เล่าเซ็งสัญญาว่า จะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงยอมให้ไป แต่ระหว่างทางเล่าเซ็งผิดสัญญา เพื่อนบ้านจึงหนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เช่นกัน เขาจึงขอตามนางไปด้วย

          เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบพระโพธิสัตว์อยู่นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูป แต่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเขาเดินทางกลับ ได้เจอกับเด็กชายยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปถามไถ่จนทราบว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเขากับภรรยาเก่าที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย และต่อมาหญิงสาวที่นำทางเล่าเซ็งไปพบพระโพธิสัตว์ได้มาขออยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

          หญิงสาวคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ มีความประพฤติดี อยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้ว จึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางแต่งตัวด้วยอาภาณ์ขาวสะอาด นั่งสักครู่แล้วก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่ จึงเกิดศรัทธา ยกสมบัติให้ลูกชาย แล้วประพฤติตัวใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่ และหญิงสาว ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น

           ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต 

          มีคณะงิ้วจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่อำเภอกระทู้นานเป็นแรมปี บังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาจึงปฏิบัติตาม หลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก็มีผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์แบบตามประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต โดยในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน

          สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจจึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ


เทศกาลกินเจ ภูเก็ต
เทศกาลกินเจ ที่ จ.ภูเก็ต



เทศกาลกินเจ ภูเก็ต
เทศกาลกินเจ ที่ จ.ภูเก็ต

ภูเก็ต เมืองแห่งเทศกาลเจ 

          จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่จัดประเพณีการกินเจอย่างยิ่งใหญ่ทุก ๆ ปี โดยมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 ดังนั้นเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่ว ๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ตว่า เป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบ และระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

10 วันของเทศกาลกินเจ 

          ประเพณีกินเจจะจัด 9 วัน 9 คืน โดยแต่ละวันมีพิธีต่าง ๆ กันดังนี้

           วันแรก แต่ละศาลเจ้าก็จะดูฤกษ์ยามว่า จะเชิญเจ้ามาเวลาไหน แต่ไม่เกินเที่ยงวัน โดยใช้ "ปวย" 2 อันเสี่ยงทายโดยการโยน 2 ครั้ง หาก 1 อันหงาย 1 อันคว่ำ แสดงว่า เจ้าทั้ง 9 ได้เสด็จลงมาแล้ว การกินเจจะเริ่มขึ้น แต่คนส่วนใหญ่มักทานกันล่วงหน้าเพื่อล้างท้อง

          ที่ภูเก็ตในตอนกลางคืนจะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้ามาประทับ

           เช้าวันที่สอง จะมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

          หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

           วันที่สี่ เป็นวันที่คนส่วนใหญ่จะมาไหว้เจ้า วันนี้ศาลเจ้าต่าง ๆ จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

           ในวันที่เจ็ด จะเริ่มพิธีบูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอีกวันหนึ่งที่มีการไหว้เจ้า แต่วันนี้สำคัญกว่าวันที่สี่ เรียกว่า "ไหว้เจ้าใหญ่" ในวันนี้จะมีการซื้อเต่า, ปลาไหล, นก ฯลฯ มาไหว้ด้วย

           วันที่แปด วันนี้จะมีการลอยกระทง คล้ายการลอยกระทงของคนไทย เพื่อขอบคุณเจ้าแม่คงคาที่ให้น้ำใช้ น้ำดื่ม และให้สิ่งไม่ดีลอยไปตามน้ำ นอกจากนี้ที่ภูเก็ตยังมีการจัดขบวนแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่าง ๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้นไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้ เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

           วันที่เก้า ช่วงเช้าจะมีพิธีทำทาน หรือเรียกว่า "ซิโกว" เป็นการให้ทานแก่ผีไม่มีญาติ ตอนกลางคืนจะมีแห่มังกร, สิงโต, ขบวนของเด็กที่จัดเพื่อเป็นสีสัน

          ขณะที่จังหวัดภูเก็ตจะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่านร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลง ดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

           วันที่สิบ เป็นวันส่งเจ้ากลับ

อาหารเจ มีอะไรบ้าง 



เทศกาลกินเจ 2557 เริ่ม 24 กันยายน-2 ตุลาคม

          อาหารเจนับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ และไม่มีพิษต่อร่างกาย เพราะได้โปรตีนจากถั่วต่าง ๆ และยังย่อยง่ายเป็นการแบ่งเบาภาระของระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ผู้ที่รับประทานเจ สามารถเลือกส่วนผสมดังต่อไปนี้มาปรุงอาหารได้ คือ ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ ปัจจุบันมีเมนูอาหารจำนวนมาก ซึ่งหลายเมนูทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ได้เหมือนจริง เช่น ขาหมูเจที่ทำจากแป้ง และถั่ว ฯลฯ

กินเจ กับ มังสวิรัติ ต่างกันอย่างไร 



อาหารเจ

          หลายคนอาจสงสัยว่า "กินเจ" ต่างกับ "กินมังสวิรัติ" อย่างไร เพราะอาหารมังสวิรัติก็เป็นอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกัน แต่มังสวิรัติสามารถทานผักได้ทุกชนิด แต่อาหารเจ ต้องเว้นผักฉุน 5 ประเภท คือ กระเทียม หัวหอม (รวมทั้งหอมแดง หอมขาว หัวหอมใหญ่ ต้นหอม) หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน ไม่ค่อยพบในประเทศไทย) กุยช่าย และใบยาสูบ รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการถือศีลกินเจที่แท้จริง ขณะที่มังสวิรัติ หมายถึง การไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

หลักธรรมในการกินเจ 

          การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ

           1. การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน, ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน และไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตัวเอง

           2. การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง คือ จะรับประทานสิ่งใดเข้าไปต้องไม่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเท่ากับเป็นการเบียดเบียนตนเอง ดังนั้นจึงมีการห้ามของมึนเมา สารเสพติด ขณะที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ยืนยันว่า เลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย เนื้อสัตว์เหล่านี้จึงจัดเป็นพิษชนิดหนึ่งเช่นกัน การละเว้นจึงส่งผลดีต่อร่างกายอีกด้วย

 วิธีล้างท้องก่อนกินเจ

          การล้างท้องก่อนกินเจ คือ การกินเจก่อนถึงวันเทศกาลเจจริงประมาณ 1-2 วัน โดยส่วนมากจะนิยมล้างท้องก่อนกินเจจริง ๆ 1 วัน เพื่อชะล้างเนื้อสัตว์ หรืออาหารคาวต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายออกให้หมดสิ้น เมื่อถึงวันถือศีลกินเจ ร่างกายจะได้สะอาด พร้อมถือศีลกินเจตามประเพณี

 กินเจ มีข้อห้ามอะไรบ้าง

          ข้อห้ามในการกินเจหลัก ๆ แล้วมีดังนี้

           1. งดเว้นเนื้อสัตว์ และห้ามทำอันตรายต่อสัตว์

           2. งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์

           3. งดอาหารรสจัด ทั้งอาหารเผ็ด หวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด

           4. งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน) กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ และของมึนเมาต่าง ๆ เพราะผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษคอยทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

           5. ไม่ใช้จานชามปะปนกัน และต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงขึ้นมา (สำหรับคนที่เคร่ง)

           6. งดดื่มสุราและของมึนเมาทุกชนิด

           7. ห้ามดับตะเกียงในสถานที่กินเจทั้ง 9 ดวง เพราะเป็นสัญลักษณ์ของเก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว ซึ่งต้องจุดไว้ตอลดทั้งวันทั้งคืนจนกว่าจะจบพิธีกินเจ และหากตะเกียงดับก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคล รวมทั้งการกินเจก็จะไม่สมบูรณ์ด้วย

 กินเจ ผักที่กินไม่ได้มีอะไรบ้าง

          ทั้งนี้อยากจะย้ำให้ชัดอีกทีว่า ช่วงกินเจ ผักที่กินไม่ได้จะมีอยู่ด้วยกัน 6 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม ต้นหอม หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน) กุยช่าย และใบยาสูบ ซึ่งคนกินเจควรต้องใส่ใจกับอาหารเจที่จะทานด้วยนะคะ เพราะบางครั้งด้วยความเคยชินเราอาจเผลอกินอาหารที่มีผักต้องห้ามเหล่านี้ผสมอยู่
       
          อย่างไรก็ดี การกินเจที่ถูกต้องยังอาจมีคำถามชวนสงสัยหลายอย่าง ว่ากินเจ กินอาหารชนิดนี้ได้ไหม หรือกินเจแล้วทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้หรือไม่ ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขออาสามาคลายข้อสงสัยในช่วงกินเจให้ทุกคนได้กระจ่าง ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลย

 20 คำถามกินเจ กินได้ไหม ทำแบบนี้ได้ไหม

           กินเจ กินไข่ได้ไหม
             ตอบ : กินไม่ได้ค่ะ เนื่องจากหลักในการกินเจจะไม่เบียดเบียนสัตว์ แต่ไข่เป็นผลผลิตจากไก่ซึ่งเป็นสัตว์ ดังนั้นหากกินเจอยู่ก็ต้องงดทานไข่ไปก่อนนะคะ

           กินเจ ดื่มกาแฟได้ไหม
             ตอบ : ดื่มได้ค่ะ แต่ต้องเป็นกาแฟดำหรือโอเลี้ยงเท่านั้น ห้ามใส่นมหรือครีมเทียม และหากเป็นไปได้ควรดื่มกาแฟที่ชงเอง เนื่องจากบางร้านอาจใช้เนยในการคั่วเมล็ดกาแฟ เพื่อเพิ่มความหอมมันด้วย

           กินเจ ดื่มเหล้าได้ไหม
             ตอบ : ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ เพราะเหล้าเป็นของมึนเมา ซึ่งไม่ถูกหลักการถือศีลในช่วงกินเจเลยสักนิด

           กินเจ กินน้ำผึ้งได้ไหม
             ตอบ : ไม่ได้ค่ะ น้ำผึ้งเป็นส่วนหนึ่งของตัวผึ้ง ดังนั้นเราก็ไม่ควรเบียดเบียนสัตว์

           กินเจ ดื่มน้ำอัดลมได้ไหม
             ตอบ : หลักในการกินเจอาจไม่มีข้อห้ามที่แน่ชัดในเรื่องการดื่มน้ำอัดลม ทว่าตามวิถีสุขภาพที่ดีแล้ว เราควรดื่มน้ำเปล่าเป็นหลักดีกว่า

           กินเจ กินวิตามินซีได้ไหม
             ตอบ : กินได้ แต่ต้องเช็กให้ชัวร์ด้วยว่า เป็นวิตามินซีที่สกัดมาจากพืชล้วน ๆ ไม่มีส่วนผสมของคอลลาเจนที่ส่วนมากจะมาจากเนื้อสัตว์

           กินเจ กินทุเรียนได้ไหม
             ตอบ : กินได้ เพราะมีความเชื่อว่า ผักผลไม้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของธาตุดิน มีประโยชน์ในการบำรุงม้าม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ควรรับประทานทุเรียนมาก เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ

           กินเจ กินผงชูรสได้ไหม
             ตอบ : กินได้ เพราะผงชูรสทำมาจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาล แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็จะดีกว่า เพราะผงชูรสไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพนะคะ อ้อ ! คนกินเจอย่าเผลอไปกินผงปรุงรสที่สกัดมาจากกระดูกสัตว์หรือการเคี่ยวเนื้อสัตว์ เช่น ผงปรุงรสหมู รสไก่ หรือซุปก้อนเข้าล่ะ

           กินเจ ดื่มชาได้ไหม
              ตอบ : ชาสามารถกินได้ค่ะ เพียงแต่ต้องระวังไม่กินชาที่ใส่นมหรือครีมเทียมทุกชนิด

           กินเจ กินผักชีได้ไหม
              ตอบ : กินไม่ได้ค่ะ ผักชีเป็นผักที่มีกลิ่นฉุนชนิดหนึ่ง ไม่ควรนำมาปรุงอาหารเจ

           กินเจ กินยีสต์ได้ไหม
              ตอบ : กินได้ค่ะ เนื่องจากยีสต์ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของเห็ดและรา ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด

           กินเจ กินช็อกโกแลตได้ไหม
              ตอบ : ช็อกโกแลตส่วนมากมักจะมีส่วนผสมของนม คนกินเจจึงควรงดช็อกโกแลตใน 9-10 วันของเทศกาลกินเจไปก่อนค่ะ

           กินเจ กินสาหร่ายได้ไหม
              ตอบ : ได้ค่ะ เพราะสาหร่ายจัดเป็นสิ่งมีชีวิตในกลุ่มพืชชั้นต่ำ ไม่ใช่สัตว์

           กินเจ กินพริกไทยได้ไหม
              ตอบ : ได้ค่ะ พริกไทยจัดเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ทว่าหากใครตะขิดตะขวงใจในเรื่องกลิ่นฉุนของพริกไทย จะไม่กินพริกไทยในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจเพื่อความสบายใจก็ได้เช่นกัน

           กินเจ กินโยเกิร์ตได้ไหม
              ตอบ : ไม่ได้ค่ะ เนื่องจากโยเกิร์ตทำมาจากนม จึงต้องงดไปก่อน

           กินเจ กินมาม่า (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ได้ไหม
              ตอบ : กินได้แต่ต้องเลือกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีสัญลักษ์เจเท่านั้น เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบปกติจะมีส่วนผสมของเนื้อสัตว์และผักกลิ่นฉุนอยู่ด้วย

           กินเจ กินปูอัดได้ไหม
              ตอบ : ไม่ได้ เพราะแม้ปูอัดจะไม่ได้ทำมาจากเนื้อปู แต่ก็ทำมาจากเนื้อปลานะจ๊ะ

           กินเจ กินหอยนางรมได้ไหม
              ตอบ : แม้จะมีเรื่องเล่าในตำนานว่ากินเจสามารถกินหอยนางรมได้ แต่เพื่อความบริสุทธิ์จริง ๆ ก็ไม่ควรกินหอยนางรมในช่วงกินเจ เพราะหอยนางรมก็ถือเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเช่นกัน

           กินเจ มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม
              ตอบ : ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างกินเจค่ะ เพราะจริง ๆ แล้วการถือศีลกินเจยังมีข้อห้ามเรื่องการแต่งหน้าทาปาก การประทินโฉมและการแต่งกาย โดยจะสังเกตได้ว่าคนที่ถือศีลกินเจส่วนใหญ่จะนุ่งขาวห่มขาว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ อยู่ในศีลธรรม คิดดี พูดดี และทำดี และในผู้ที่เคร่งครัดมาก ๆ อาจมีการแยกห้องนอนกันเลยทีเดียว

           กินเจ สูบบุหรี่ได้ไหม
              ตอบ : ไม่ได้เด็ดขาดค่ะ ใบยาสูบก็เป็นหนึ่งในของต้องห้ามในช่วงกินเจ ดังนั้นหากตั้งใจจะถือศีลกินเจก็ควรงดบุหรี่และอบายมุขทุกสิ่งไปก่อน

          อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามในการรับประทานอาหารและการปฏิบัติตัวในช่วงกินเจยังคงเป็นประเด็นถกเถียงกันพอสมควร ทว่าเพื่อความสบายใจและสุขใจในการกินเจอย่างแท้จริง อะไรเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปน่าจะดีเนอะ

          ทั้งนี้หลายคนอาจมองว่า ในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจก็มีหลายอย่างที่รับประทานไม่ได้ แล้วอย่างนี้การกินเจจะกระทบกับสุขภาพไหม เราเลยมีวิธีกินเจอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพมาบอกต่อ

 กินเจอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพ

           1. ล้างผักผลไม้ให้สะอาด

          ในช่วงกินเจเราจะมีโอกาสได้กินผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ควรต้องระวังสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงในบรรดาผักและผลไม้ให้มากขึ้นด้วย โดยควรเลือกซื้อผักและผลไม้จากแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐาน หรือควรต้องมีป้ายรับรองความสะอาด ถูกสุขอนามัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และก่อนนำผักผลไม้มารับประทาน ควรล้างด้วยน้ำไหล 2 นาที หรือแช่ด้วยเกลือ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร หากมีน้ำส้มสายชูก็สามารถนำมาใช้ล้างผักได้เช่นกัน อัตราส่วนครึ่งถ้วยต่อน้ำ 4 ลิตร โดยแช่ไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นน้ำมาล้างน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง

           2. ลดอาหารเค็มจัดและหวานจัด
 
          เครื่องปรุงอาหารเจหลัก ๆ จะเป็นซอส ซีอิ๊ว น้ำตาล ซึ่งหากคุณเป็นคนที่ชอบกินอาหารรสจัดก็อาจเผลอปรุงรสอาหารเจด้วยเครื่องปรุงเหล่านี้มากเกินปกติ ซึ่ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคไต และเบาหวานได้ ดังนั้นพยายามอย่ากินเค็มจัดและหวานจัดดีกว่า

           3. กินแป้งให้น้อย
 
          อย่าลืมว่าอาหารเจส่วนใหญ่อุดมไปด้วยแป้งเน้น ๆ เลยนะคะ ดังนั้นหากเป็นไปได้พยายามเน้นรับประทานผัก เต้าหู้ ด้วยการปรุงสุกแบบต้มและนึ่งเพื่อสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่ไม่อ้วนกันเถอะ

           4. กินโปรตีนให้มาก
 
          แม้ช่วงเจเราจะงดทานเนื้อสัตว์ แต่ยังมีโปรตีนจากพวกถั่ว เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ และโปรตีนเกษตรเป็นตัวเลือกเพื่อสุขภาพอีกทางหนึ่ง ดังนั้นหากไม่อยากให้ร่างกายขาดสารอาหารประเภทโปรตีน ก็อย่าลืมกินอาหารประเภทนี้เยอะ ๆ นะคะ



กินเจ

 กินเจยังไงไม่ให้อ้วน

          มีหลายคนสงสัยว่ากินเจแล้วอ้วนไหม ตอบได้เลยค่ะว่าเรามีวิธีกินเจอย่างไรไม่ให้อ้วนมาฝาก โดยทำง่าย ๆ ตามนี้เลย

           1. เลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว อย่างข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี ขนมปังโฮลวีท ลูกเดือย และธัญพืชต่าง ๆ ซึ่งปริมาณน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลในแป้งขัดขาว

           2. เลือกผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้นจึงทำให้อ้วนน้อยกว่านั่นเอง

           3. เน้นอาหารประเภทนึ่ง ต้ม ตุ๋น เพราะไม่มีน้ำมัน และไขมันน้อยกว่าอาหารประเภทผัดและทอด

           4. กินหวานให้น้อย อย่าทดแทนอาหารประเภทเนื้อสัตว์ด้วยของหวานเลยนะคะ โดยเฉพาะถ้าไม่อยากอ้วนต้องอดใจกับของหวาน ๆ ให้อยู่

           5. อดอาหาร ล้างพิษหลังกินเจ เพราะจะช่วยให้ร่างกายขับพิษต่าง ๆ ออกมาได้ ทั้งยังช่วยลดไขมันในเลือด ลดน้ำหนัก ลดภาวะร้อนในจากธาตุในร่างกายที่ไม่สมดุลได้อีกด้วย

  ประโยชน์ของการกินเจ

          การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลรักษาประเพณี และละเว้นชีวิตแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

           1. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เพราะสารอาหารจากพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ

           2. เมื่อรับประทานเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรงรู้สึก มีสุขภาพดี

           3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์

           4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ ได้แก่ สารเคมี ยาฆ่าแมลง มลภาวะ และก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ ซึ่งสารอาหารในพืชผัก จะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่าง ๆ ได้

           5. สามารถต้านทานสารพิษได้สูงกว่าคนปกติ ในบรรดาผู้ที่ทานเจมักไม่ปรากฎโรครุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ฯลฯ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ

           6.การกินเจทำให้เกิดความเมตตา เกิดความสงบสุขุม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โมโหง่าย ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อย ๆ

           7.หยุดการสร้างบาป เวรกรรม ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท จึงปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายตามจองเวร


          การกินเจนอกจากจะช่วยซ่อมแซมร่างกายของตัวเองแล้ว ยังหยุดการเบียดเบียนผู้อื่น เป็นการสร้างกุศลอิ่มใจแล้วก็อิ่มบุญอีกต่อ ใครที่ไม่เคยกินเจ จะเริ่มในปีนี้ก็ไม่สายเกินไปนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 
     
- elib-online.com
- panyathai.or.th
- อาหารมังสวิรัติเพื่อสุขภาพ
- มูลนิธิปฐมธรรม ฟาอีฉงเต๋อ
- Phuketbulletin

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : http://hilight.kapook.com/view/29017

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

เลือกดื่มนมให้ได้ประโยชน์ / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

"นมมีประโยชน์" ผู้บริโภคต้องเข้าใจ และรู้วิธีการเลือกซื้อ เลือกดื่มนมอย่างถูกต้องเพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากสารอาหารที่ครบถ้วน โดยไม่ต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

เลือกดื่มนมให้ได้ประโยชน์
วิธีการเลือกดื่มนมให้ได้ประโยชน์สูงสุด และมีคุณค่าครบถ้วนต้องเริ่มดูจากจุดเริ่มต้นสำคัญคือดูกระบวนการผลิต ว่าได้รับการใส่ใจพิถีพิถันทุกขั้นตอนหรือไม่ โดยขั้นตอนที่สำคัญที่สุดอยู่ที่การคัดสรรน้ำนมดิบที่มีคุณภาพดีจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน มีการตรวจสอบคุณสมบัติปริมาณสารอาหาร และควบคุมเรื่องความสะอาดปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และผ่านกระบวนการผลิตที่ดี เพื่อให้ได้น้ำนมสดคุณภาพถึงมือผู้บริโภค มีสารอาหารสำคัญของนมครบถ้วนและปราศจากสารปนเปื้อนหรือยาปฎิชีวนะ
ซึ่งปัจจุบัน หากเทียบสารอาหารในนม กับวิตามินที่อยู่อาหารเสริมซึ่งผู้บริโภคนิยมรับประทานก็จะพบว่ามีวิตามินหลักๆคือ เอ บี ซี ดี และ อี ซึ่งวิตามินเหล่านี้ สามารถพบได้ในนมสดหรือนมพาสเจอร์ไรส์ที่วางขายในท้องตลาด อีกทั้งนอกเหนือจากแคลเซียมที่เป็นสารอาหารหลักในนมซึ่งเป็นที่ทราบกันดี "นม" ยังมีวิตามิน เค รวมไปถึงโปรตีน แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม เซเลเนียม และสังกะสี ซึ่งอยู่ในปริมาณพอเหมาะเท่าที่ร่างกายต้องการ รวมถึง "โปรตีนในนม"อันประกอบด้วยเคซีน และเวย์โปรตีนซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูงไม่แพ้โปรตีนในเนื้อสัตว์ และร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง
ดังนั้น การเลือกดื่มนมที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิต และมีคุณค่าทางอาหาร จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงและมีผิวพรรณที่สดใสสวยงาม โดยไม่ต้องลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่แพงเกินความจำเป็นเรียกได้ว่า "ครบถ้วน" ทั้งอิ่มท้อง ทั้งคุณค่าทางอาหาร และยังสบายกระเป๋าอีกด้วย

บทความโดย หนังสือพิมพ์บ้านเมือง


        ขอบคุณที่มา

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

สุขภาพดี...เรื่อง กล้วยกล้วย / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

กระแสความนิยมผลไม้นำเข้าราคาแพงๆ อาจทำให้หลายคนลืมผลไม้ไทยอย่าง “กล้วย” ที่มีคุณประโยชน์สารพัด แถมราคาถูกกว่าผลไม้ต่างแดน จึงนำเรื่องควรรู้ของกล้วย พร้อมแนะวิธีกินอย่างไรท้องไส้ไม่ปั่นป่วนมาฝากกันค่ะ


กล้วยสุก เมื่อรับประทานจะพบว่าเนื้อนุ่ม กลืนลงคอได้เร็วและย่อยง่าย ด้วยเหตุที่กล้วยกลืนง่ายนี้ ทำให้บางคนไม่ค่อยเคี้ยว ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นวิธีการที่ผิดนะคะ ที่ถูกคือต้องเคี้ยวให้ละเอียด เพราะกล้วยมีแป้งร้อยละ 20-25 ของเนื้อกล้วย ถ้าเคี้ยวไม่ละเอียด น้ำย่อยในกระเพาะต้องทำงานหนัก หากย่อยไม่ทันกล้วยจะอืดในกระเพาะอาหารได้ อย่างไรก็ตาม กระเพาะของคนใช้เวลาในการย่อยกล้วยสั้นกว่าการย่อยส้ม นม กะหล่ำปลี หรือแอปเปิล
คนทำงานหรือนักกีฬา ถ้าต้องการเรียกพลังงานให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วยแล้วค่ะ เพราะกล้วยอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโคส มีเส้นใยและกากอาหาร จึงช่วยเพิ่มพลังงานได้ทันที และดีต่อระบบขับถ่าย จากงานวิจัยพบว่า กินกล้วยแค่ 2 ผล สามารถเพิ่มพลังงานพอๆ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก
“กล้วยเพิ่มพลังสมอง” เคยมีรายงานว่า นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียนทวิคเกนฮาม ได้คะแนนสอบดีตลอดปี เพราะการรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ช่วงเบรก และมื้อกลางวันทุกวัน แสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
“กล้วยแก้โรคท้องผูก” ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วย ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ แก้ท้องผูกโดยไม่ต้องพึ่งยาถ่าย
“กล้วยแก้โรคซึมเศร้า” จากการสำรวจในผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า พบว่า หลายคนมีความรู้สึกดีขึ้นมากหลังการรับประทานกล้วย เพราะมีโปรตีนที่เรียกว่า ทริปโตฟาน เมื่อสารนี้เข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น เซโรโทนิน มีฤทธิ์ผ่อนคลายปรับอารมณ์ให้ดี มีความสุขขึ้น
“กล้วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่” เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบาย อ่อนเพลีย แนะรับประทานกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อ “กล้วยดีต่อระบบประสาท” ในกล้วยมีวิตามินบีสูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทเป็นปกติ ยังมีการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุให้กินจุบจิบ จนเป็นโรคอ้วน ฉะนั้นเพื่อเลี่ยงความตระหนกจากภาวะกดดัน จึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ด้วยอาหารว่างคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น รับประทานกล้วยทุก 2 ชั่วโมง ทั้งนี้วิตามินบี 6 ที่อยู่ในกล้วยยังมีสารควบคุมระดับกลูโคสซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์
“กล้วยรักษาลำไส้เป็นแผล” กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุมและต้านการเกิดแผลที่ลำไส้ เพราะเนื้อของกล้วยนุ่มพอดี จึงเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่เหมาะกับผู้ป่วยลำไส้เรื้อรัง และยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ลดระคายเคือง เคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร
“ตัวช่วยสำคัญของคนกำลังเลิกบุหรี่” เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินเอ บี 6 บี 12 และซีสูง และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียมที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นคืนกำลังได้รวดเร็ว อันเป็นผลจากความอ่อนเพลียระหว่างลดเลิกนิโคติน
“กล้วยรักษาสมดุลโปรแตสเซียม” โดยสารดังกล่าวช่วยให้การเต้นของหัวใจปกติ การส่งออกซิเจนไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเครียด อัตราเผาผลาญในร่างกายจะขึ้นสูงและทำให้โปรแตสเซียมในร่างกายลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล
“กล้วยลดความเสี่ยงเส้นเลือดฝอยแตก” จากการวิจัยที่ลงในวารสารทางการแพทย์นิวอิงแลนด์ ชี้ว่า การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ร้อยละ 40
“กล้วยรักษาหูด” โดยการใช้เปลือกกล้วยด้านใน วางปิดลงบนหูดแล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้ และ “แก้คัน” ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัดลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด เพราะเปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยยังมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ล 4 เท่า มีคาร์โบรไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่น มากกว่าอีก 2 เท่า และอุดมด้วยโปรแตสเซียม กล้วยจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุด


         ขอบคุณที่มา


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

วันมหิดล (24 กันยายน) ของทุกปี / Admin SD (Tonan Asia Autotech)


ความหมาย

                   24 กันยายน วันมหิดล เป็น วันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมราชชนกที่ทรงมีคุณูปการต่อการแพทย์สมัยใหม่ของไทย

ความเป็นมา

                       สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้า พระราชสมภพ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2434 และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2472 มีพระนามเดิมว่าสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช ในเบื้องต้น ได้ทรงศึกษาวิชาทหารเรือ ณ ประเทศเยอรมนี จากนั้นเสด็จกลับมารับราชการทหารเรือ ต่อมาทรงมีอาการประชวรเรื้อรัง ไม่สามารถรับราชการหนักได้ ประกอบกับทรงสนพระทัยในกิจการทางด้านการแพทย์ จึงทรงอุตสาหะเสด็จไปศึกษาวิชาการสาธารณสุข และวิชาแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงสอบได้ประกาศนียบัตรการสาธารณสุข และปริญญาแพทย์ศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังจากเสด็จกลับมาเมืองไทย พระองค์ได้ทรงประกอบพระกรณียกิจทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมากมาย

ด้วยความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ผู้ที่เคยได้รับพระกรุณาในด้านต่างๆ จากพระองค์ จึงได้รวบรวมเงินจัดสร้างพระรูปประดิษฐานไว้ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยมอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้างมีศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี เป็นผู้ควบคุม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2493 และในวันที่ 24 กันยายนปีเดียวกันนี้เอง นักศึกษาแพทย์ได้ริเริ่มจัดงานขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องในวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ โดยมีพิธีวางพวงมาลา ถวายบังคมพระรูป อ่านคำสดุดีพระเกียรติเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และทางคณะแพทย์ศาสตร์ และศิริราชพยาบาล ได้มีความเห็นพร้อมต้องกันว่าให้ยึดถือเอาวันที่ 24 กันยายนของทุกปี เป็นวันที่น้อมรำลึกถึงพระองค์โดยให้ชื่อว่า วันมหิดล และงานวันมหิดลได้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในวันที่ 24 กันยายน 2494 โดยจัดให้มีพิธีสงฆ์ ทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารเช้า และการนำพวงมาลาไปสักการะที่พระรูป

พระราชกรณียกิจมากมายที่พระองค์ได้ทรงประกอบไว้มีดังนี้

ทรงเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์
ทรงช่วยเหลือในการขยายกิจการของโรงพยาบาลศิริราช
ประทานทรัพย์สินส่วนพระองค์ และจัดสร้างตึกคนไข้ และจัดหาที่พักสำหรับพยาบาลให้ได้อยู่อาศัย
ทรงบริจาคทรัพย์เป็นทุนสำหรับส่งนักศึกษาแพทย์ และนักเรียนพยาบาลไปศึกษาต่อต่างประเทศ
ประทานเงินเพื่อใช้ในการจัดหาเครื่องมือ สำหรับปฏิบัติการให้แก่โรงพยาบาล
ทรงเป็นผู้แทนรัฐบาลติดต่อกับมูลนิธิรอคกีเฟลเลอร์ สาขาเอเซียบูรพา ในการปรับปรุง และวางมาตรฐานการศึกษา
ทรงอุทิศเวลาส่วนใหญ่ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยด้วยพระองค์เอง
วัตถุประสงค์โดยสรุป

เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ให้ปรากฏแก่ มวลสมาชิกทั่วโลก
เพื่อเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง     ร่วมกับ ประเทศที่มีผู้ได้รับการยกย่อมเชิดชูเกียรติ ในการนี้ รัฐบาลไทย     โดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมเพื่อให้ยูเนสโก ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศ ยกย่องสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงเป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลก ในวาระครบรอบ 100 ปี วันพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535

ที่มา :

ศิริวรรณ คุ้มโห้ ; วันและประเพณีสำคัญ , บริษัท สำนักพิมพ์เดอะบุคส์ จำกัด, กทม. 245 น.
ธวัชชัย  พืชผล; วันสำคัญของไทย. บริษัท สารสาร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด, กทม.(หน้า 67-69).

ขอขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.tlcthai.com/education/history-of-thailand/4513.html

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

How to Store a Microscope / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

Microscopes are very sensitive scientific instruments that allow us to look at items using magnification. They must be handled and cared for carefully at all times, even when they are not being used, to ensure that they continue to perform at a high level. To extend the life of your microscope, store it wisely. Because dust can scratch the lens of a microscope and interfere with the magnification process, the main objective of storing a microscope is to keep it protected from dust and other elements.


Instructions

  1. Wash and dry your hands to be certain that you're not transferring any dirt or dust to the microscope.
  2. Turn the microscope off or at least be sure that it is operating on the lowest possible magnification setting.
  3. Clean the body and all surfaces except for the lenses using a can of compressed air. If necessary, the tube, arm, stage and base can also be wiped with a damp or dry lint-free cloth. Clean lenses thoroughly, using lens cleaning solution and lens cleaning papers. Lens cleaning papers and solution can be found at camera supply stores.
  4. Turn the lenses so that they are facing the stage, or the tray where slides are placed to view items through the lenses.
  5. Cover the microscope with a plastic microscope cover. If the cover has zippers or buttons to seal it shut, make sure these are buttoned or zipped correctly.
  6. Store the microscope on a flat table or surface where it will not be jostled or knocked over. Ensure that the storage area does not expose the microscope to prolonged periods of direct sunlight.

Tips & Warnings

  • For an added layer of protection, store the covered microscope in a plastic tub with a lid on it and store the tub on a flat surface.




ขอบคุณแหล่งที่มา:www.ehow.com

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

วันเยาวชนแห่งชาติ (20 กันยายน) / Admin SD (Tonan Asia Autotech)



ประวัติวันเยาวชนแห่งชาติ

วันเยาวชนแห่งชาติได้เริ่มมีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2528 หลังจากที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ปี พ.ศ. 2528 เป็นปีเยาวชนสากล ดังนั้น เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2528 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติกำหนดให้วันที่ 20 กันยายน ของทุกปีเป็นวันเยาวชนแห่งชาติ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ แห่งราชวงค์จักรีถึงสองพระองค์ คือ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468
และพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ได้ขึ้นครองราชสมบัติขณะยังทรงพระเยาว์

นอกจากนี้ยังได้มีการส่งเสริมให้เยาวชนที่กระจายกันทั่วประเทศ ได้ตระหนักว่าเยาวชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาชาติให้มีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง โดยเริ่มจากการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีค่านิยมที่ถูกต้อง ภูมิใจและหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ซึ่งความเป็นไทย อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย รู้จักการอดออมและประหยัดรวมทั้งการบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

นอกจากหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานภาคเอกชนก็มีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาและส่งเสริมให้เยาวชนของชาติเป็นทรัพยากรบุคคลมีคุณภาพ และสถาบันทีมีความสำคัญเป็นอันดับแรกในการพัฒนา คือ สถาบันครอบครัว ซึ่งหากผู้ปกครองมีความเข้าใจ เอาใจใส่ ดูแล ทนุถนอม ให้ความรักความอบอุ่นแก่เยาวชนที่อยู่ในความปกครองอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะมีส่วนเป็นอย่างมากในการที่จะนำพาเยาวชนให้เป็นบุคคลที่มีทั้งคุณภาพและคุณธรรม ซึ่งจะพาประเทศชาติให้เจริญรุงเรืองต่อไปในภายภาคหน้า

ความหมายคำว่าเยาวชน

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า “เยาวชน” ไว้ดังนี้ (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หน้า 673)

เยาวชน หมายถึง บุคคลที่มีอายุเกิน 14 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ และไม่ใช่ เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้วด้วยการสมรส

องค์การสหประชาชาติ (สุภักดิ์ อนุกูล วันสำคัญของไทย, หน้า 82) ได้ให้ความหมายสากลของคำว่า เยาวชน หมายถึง คนในวัยหนุ่มสาว คือ ผู้มีอายุระหว่าง 15 – 25 ปี

เยาวชน เป็นกลุ่มคนที่มีพลังอันสำคัญที่สามารถช่วยกันเสริมสร้างกิจกรรมที่เป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต เยาวชนควรตระหนักในคุณค่าของตนเองที่ร่วมแรงร่วมใจ สามัคคี และเสียสละส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม มีคุณธรรม จริยธรรม และสติปัญญาอันชาญฉลาด ในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามแก่สังคม และนำพาประเทศชาติสู่ความเจริญรุ่งเรือง

เป้าหมายของวันสำคัญ มี 3 ประการ คือ

เพื่อให้เยาวชนช่วงอายุ 15 – 25 ปี ได้ตระหนักนึกความสำคัญในการพัฒนาตนเอง พัฒนาชุมชน พัฒนาประเทศ
เพื่อให้ประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงความสำคัญต่อประเทศชาติทั้งในด้านคุณภาพคุณธรรม
เพื่อให้นโยบายส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สัมฤทธิ์ผล
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันเยาวชนแห่งชาติ

จัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ความสำคัญ หน้าที่ ของเยาวชนเพื่อให้เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้ตระหนักและเข้าใจ
ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กิจกรรมสาธารณประโยชน์กิจการเพื่อการกุศล กิจกรรมในชุมชน ฯลฯ
คำขวัญวันเยาวชนแห่งชาติ

องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ปี 2528 เป็นปีเยาวชนสากล โดยใช้คำขวัญ Participation, Development and Peace ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้วันที่ 20 กันยายนของทุกปี เป็นวันเยาวชาติ และมอบคำขวัญที่ถอดความเป็นภาษาไทยว่า ร่วมแรงแข็งขัน ช่วยกันพัฒนา ใฝ่หาสันติ ซึ่งมีความหมายละเอียดลึกซึ้งต่อเยาวชนทุกคน สามารถยึดถือและนำไปปฏิบัติดังนี้

ร่วมแรงแข็งขัน (participation) หมายถึง การยอมรับในศักยภาพของแต่ละบุคคล ที่จะสามารถวินิจฉัยและตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง และตระหนักว่าตนมีโอกาส ได้ใช้โอกาสและพึงพอใจที่ได้ใช้โอกาสด้วยตนเองอย่างเกิดคุณค่าโดยไม่ตกเป็น เครื่องมือของผู้ใด การที่เยาวชนสามารถมีส่วนร่วมและมีบทบาทต่อชาติบ้านเมืองได้อย่างเต็มที่ นั้น เป็นความสำเร็จของสังคมและประเทศชาติที่สำคัญ

ช่วยกันพัฒนา (development) การพัฒนานั้นมองได้ 2 มิติ มิติหนึ่งคือ การพัฒนาตนเองของแต่ละบุคคล และอีกมินิหนึ่งคือ การพัฒนาสังคมและประเทศชาติ หากบุคคลพัฒนาตนเองได้ดีก็จะเป็นกำลังสำคัญ และอีกมิติหนึ่งคือการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ หากบุคคลพัฒนาตนเองได้ดีก็จะเป็นกำลังสำคัญและมีคุณค่าต่อการพัฒนาสังคมและ ประเทศชาติ ขณะเดียวกัน การพัฒนาสังคมและประเทศชาติก็จะเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาของบุคคลด้วย กระบวนการพัฒนา 2 ส่วนนี้ จึงมีความต่อเนื่อง สัมพันธ์กัน และในสภาวะปัจจุบัน ความร่วมมือในระดับนานาชาติ จะมีผลอย่างสำคัญยิ่งต่อความก้าวหน้าในการพัฒนาประเทศ

ใฝ่หาสันติ (peace) สันติภาพเป็นหลักการพื้นฐานของชีวิต ความต้องการสันติภาพ เป็นความต้องการของสากลโลก ซึ่งทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้เกิดสันติภาพและดำรงคงไว้ คนหนุ่มสาวจึงต้องร่วมมือกันในเรื่องนี้ ผลักดันให้เกิดมาตรการที่จะสร้างความเชื่อมั่นในวิถีการพัฒนาด้วยสันติ และสร้างสำนึกสันติภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลูกฝังสั่งสอนเยาวชนให้รู้จักเคารพในศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน มีความอดกลั้น ความเป็นประชาธิปไตย และเสรีภาพพื้นฐาน

 ความเป็นมาของเครื่องหมายเยาวชนแห่งชาติ

ในปี พ.ศ.2517 สำนักเยาวชนแห่งชาติ ได้เสนอต่อคณะกรรมการบริหารและประสานงานเยาวชนแห่งชาติว่า เพื่อประสิทธิภาพและความมั่นคงในการดำเนินงานเยาวชนแห่งชาติ สมควรที่ขอรับพระราชทาน เครื่องหมายเยาวชนแห่งชาติ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ผูกพันพลังน้ำใจ และเป็นเครื่องยึดมั่นสักการบูชาร่วมกันของบรรดาเยาวชน กลุ่มเยาวชน และหน่วยงานที่ทำงานเกี่ยวกับเยาวชน จึงได้เสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อนำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ซึ่งสำนักพระราชเลขาธิการได้นำความกาบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระ บาท แล้ไม่ทรงขัดข้อง จึงมีพระบรมราชานุญาตให้นำพระมหาพิชัยมงกุฎประดับบนส่วนยอดเครื่องหมายเยวชน แห่งชาติ

 ความหมายเครื่องหมายเยาวชนแห่งชาติ

เครื่องหมายเยาวชนนี้ได้รับพระราชทาน และพระบรมราชานุญาตให้ใช้พระมหาพิชัยมงกุฎบนส่วนยอดของเครื่องหมาย เพื่อเป็นมิ่งขวัญ กำลังใจ และศิริมงคลแก่ชีวิตของเยาวชน รูปลักษณะของเครื่องหมายนี้เป็นรูปโล่สีธงชาติ มีอักษรคำว่า เยาวชน สีขาวอยู่ในวงกลมพื้นสีเขียว เบื้องบนเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ มีรัศมีอุณาโลม เบื้องล่างมีอักษรสีแดงว่า พลังพัฒนาชาติ รองรับด้วยรวงข้าว 9 รวง แยกอยู่ทางด้านขวา 5 รวง ด้านซ้าย 4 รวง ซึ่งสัญลักษณ์ต่างๆ เหล่านี้อธิบายได้ดังนี้คือ

1. พระมหาพิชัยมงกุฎ เป็นเครื่องหมายแทนองค์พระมหากษัตริย์ องค์ประมุขสูงสุดของประเทศ ซึ่งเป็นที่เคารพ สักการะ และเป็นจุดรวมน้ำใจของคนทั้งประเทศ

2. รัศมีที่พระมหาพิชัยมงกุฎ หมายถึง พระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งหมายความว่า เยาวชนไทยนั้นอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือได้รับพระบารมีปกเกล้าฯ

. อุณาโลม หมายถึง หว่างพระขนงของพระพุทธเจ้า ใช้เป็นเครื่องหมายแทนศาสนา

4. อักษรเยาวชนสีขาวในพื้นวงกลมสีเขียวรูปโล่สีธงชาติ หมายถึง พลังอันบริสุทธิ์แห่งความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของเยาวชนไทย อันจะนำไปสู่ความสำเร็จ การเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาการกสิกรรม อันเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

5. รวงข้าวทั้ง 9 รวง มีความหมายถึง เป้าหมายในการพัฒนาเยาวชนทั้ง 9 ประการ ตามนโยบายเยาวชนแห่งชาติ โดยที่รวงข้าวหมายถึง ความเติบโตงอกงาม ฉะนั้น คุณลักษณะ 9 ประการที่จะปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวเยาวชน จึงเปรียบเสมือนคุณสมบัติที่จะงอดงามขึ้นตามตัวเยาวชน

6. อักษรว่า พลัง พัฒนาชาติ เป็นคำขวัญ เพื่อเตือนใจเยาวชนให้ตระหนักว่า พวกเขานั้นมีพลังบริสุทธิ์อันหนักแน่น จริงจัง ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้มากในการช่วยพัฒนาประเทศชาติ

แหล่งอ้างอิง
1. ธนากิต. วันสำคัญของไทย. กรุงเทพฯ : ชมรมเด็ก,2541.
2. วรนุช อุษณกร. ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์,2528.

ขอขอบคุณแหล่งที่มา http://www.tlcthai.com/education/history-of-thailand/4511.html

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

น้ำผึ้ง ความหวานจากธรรมชาติ เปี่ยมคุณค่ามากประโยชน์ / ADMIN - SJ (TONAN ASIA AUTOTECH)

น้ำผึ้ง ความหวานจากธรรมชาติ เปี่ยมคุณค่ามากประโยชน์
ความหวานจากธรรมชาตินั้นมีมากมาย หลากหลายรูปแบบ ส่วนมากจะมาจากส่วนต่างๆของพืช อย่างยางไม้ และน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ น้ำผึ้งเองก็เป็นผลผลิตจากน้ำเชื่อมจากเกสรดอกไม้ชนิดต่างๆเก็บโดยพนักงานจอมขยันอันดับต้นๆของโลก ผึ้งงานตัวน้อยที่ทำงานกันอย่างแข็งขันโดยไม่มีวันหยุด
ผึ้งงานหรือผึ้งน้ำหวานจะเปลี่ยนน้ำเชื่อมจากดอกไม้(น้ำต้อย)เป็นน้ำผึ้งด้วยการขย้อนน้ำเชื่อมจากดอกไม้ที่ดูดไว้ออกมา เพื่อเตรียมไว้เป็นแหล่งอาหารให้กับตัวอ่อนในรังผึ้ง โดยจะสร้างขี้ผึ้งจากเศษเกสรดอกไม้ผสมกับน้ำเมือก ขึ้นรูปเป็นโพรงทรง 6 เหลี่ยม และเก็บของเหลวที่ได้จากการขย้อนนั้น(น้ำผึ้ง)ลงไป ปิดทับด้วยขี้ผึ้งอ่อนอีกชั้น
น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานชนิดแรกๆจากธรรมชาติที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารก่อนที่จะมีใช้น้ำตาลเสียอีก โดยมีประวัติการใช้น้ำผึ้งมาตั้งแต่ยุคอียิปต์ และ กรีกโบราณ โดยมีสรรพคุณทางยา ช่วยในการสมานแผล ฆ่าเชื้อโรค บำรุงความงาม และช่วยบำรุงกำลัง นอกจานี้น้ำผึ้งยังมีบทบาทในทางศาสนา โดยเป็นเครื่องมือในการประกอบศาสนกิจ ทั้งในคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอ่าน และพระไตรปิฎก อีกด้วย

ส่วนประกอบของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบถึง 80-85% ประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิดต่างๆ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ได้แก่ กลูโคส และฟรักโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่ย่อยเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว อีกกลุ่มคือน้ำตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่ มอลโทส ซูโครส แล็กโทส และมีส่วนของน้ำตาลที่มีโมเลกุลซับซ้อน อย่างเดกซ์โทรสผสมอยู่ด้วย
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นส่วนผสมความหวานที่ได้จากธรรมชาติล้วนๆ ดังนั้นน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์จริงจะมีปริมาณซูโครสไม่เกินร้อยละ 5-8 เท่านั้น ถ้าสูงกว่านั้นแสดงว่า น้ำผึ้งนั้นมีการผสมน้ำเชื่อม หรือไม่ใช่น้ำผึ้งบริสุทธิ์นั้นเอง

ตารางคุณค่าทางอาหารของน้ำผึ้ง

ปริมาณคุณค่าทางอาหารต่อ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ3.59 g.
พลังงาน64 kcal
โปรตีน0.06 g.
ไขมัน0.00 g.
คาร์โบไฮเดรต17.30 g.
ไฟเบอร์0.0 g.
น้ำตาล17.25 g.

คุณค่าทางอาหารของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งเป็นอาหารกลุ่มให้พลังงาน (คาร์โบไฮเดรต)เนื่องจากมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก น้ำตาลกว่า 70%ในน้ำผึ้งเป็นน้ำตาลที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยฟื้นฟูกำลัง ช่วยให้หายเหนื่อยเร็ว และให้ความสดชื่น หลังออกกำลังกายได้ดี
ในน้ำผึ้งมีวิตมิน บีและซี และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม เกลือแร่ ฟอสฟอรัส กรดอะมิโนที่จำเป็น รวมถึงสารต้านอนุมุลอิสระ ที่มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในผักใบเขียว มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของเซลล์และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

สรรพคุณทางยาของน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายมาหลายพันปีแล้ว โดยถือให้น้ำผึ้งเป็นอาหารบำรุงกำลัง ปรับสมดุลให้กับร่างกาย ช่วยให้อวัยวะภายในทำงานได้ดีขึ้น ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ลดกรดในกระเพาะอาหาร ใช้ล้างแผล ฆ่าเชื้อโรค ใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้

สรรพคุณด้านความงามของน้ำผึ้ง

นอกจากน้ำผึ้งจะใช้นำมาเป็นอาหารที่อุดมคุณค่าแล้ว น้ำผึ้งยังมีสรรพคุณมากมายเพื่อความงามอีกด้วย น้ำผึ้งถูกนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์และครีมบำรุงผิวมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ ด้วยที่น้ำผึ้งมีความสามารถในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย “ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์” สารชนิดนี้กำจัดเชื้อโรคได้โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้น้ำผึ้งถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรผิวหนังรวมถึงเรื่องความงามอีกด้วย
นอกจากนี้น้ำผึ้งมีสารประกอบที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องแสงแดดและรังสียูวี แถมช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง นุ่มเนียน เครื่องสำอางค์ประเภท สบู่ ครีมพอกหน้า ครีมขัดหน้า เจลล้างหน้าจึงนิยมน้ำน้ำผึ้งมาเป็นส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์

ลักษณะน้ำผึ้งที่ดี

น้ำผึ้งจะมีหน้าตาและสีจะคล้ายๆกันแต่คุณภาพอาจแตกต่างกัน น้ำผึ้งที่ดีจะต้องมีลักษณะข้นหนืด มีความใสโปร่งแสง ไม่มีตะกอน ไม่มีฟอง ไม่มีกลิ่นบูดเปรี้ยว แต่จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวจากเกสรดอกไม้ การคัดน้ำผึ้งที่ดีจะต้องดูจากความชื้นที่อยู่ในน้ำผึ้ง ยิ่งน้ำผึ้งมีความชื้นต่ำก็จะยิ่งมีคุณภาพมากเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลว่า น้ำผึ้งเดือน 5 จึงเป็นสุดยอดน้ำผึ้งคุณภาพ เพราะในเดือน 5 เป็นหน้าเล้ง ไม่มีฝน ดอกไม้กำลังบานสะพรั้ง จึงทำให้น้ำผึ้งที่ได้มีความชื้นต่ำและมีกลิ่นหอม
แต่ด้วยในปัจจับันน้ำผึ้งเดือน 5 ตามธรรมชาติอาจหาได้ยากเนื่องพื้นที่ป่าลดลง จึงทำให้มีการปลอมแปลงน้ำผึ้งมาแร่ขายกันมากขึ้น น้ำผึ้งที่ขายกันหากเป็นน้ำผึ้งแท้ ส่วนมากจะมาจากการเลี้ยงผึ้งในสวนไม้ผล เช่นลำใย หรือ เลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งคุณภาพจะสู้น้ำผึ้งป่าไม่ได้ เมื่อเก็บไว้ซักระยะน้ำผึ้งจะเปลี่ยนสี สีจะเข้มขึ้น และอาจมีกลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไป

น้ำผึ้งแท้หรือเทียมสังเกตุอย่างไร

ด้วยที่สรรพคุณมากมายของน้ำผึ้ง ทำให้ราคาของน้ำผึ้งแท้สูงเมื่อเทียบกับน้ำตาล จึงทำให้เกิดกลโกงหลอกลวงมากมายเกี่ยวกับน้ำผึ้ง ทั้งใช้น้ำผึ้งแท้ผสมน้ำตาลเคี่ยวผสมแบะแซเพิ่มความข้นหนืดและคงรูป หรือใช้ฝักจามุรี ฝักฉำฉามาเคี่ยวด้วยไฟอ่อน พอละลายก็จะได้น้ำผึ้งเก๊โดยไม่ต้องเติมน้ำผึ้งจริงแม้หยุดเดียว
สำหรับคนที่ทานน้ำผึ้งเป็นประจำ จะคุ้นเคยกับลักษณะและกลิ่นอยู่แล้ว เพียงแค่ดม หรือชิมก็สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีความรู้ เพื่อความมั่นใจลองใช้วิธีเหล่านี้พิสูจน์ดู
  • หยดลงบนนิ้วมือแล้วคลึงดู ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะไม่แห้ง จะยังลื่นอยู่ตลอด แต่ถ้าหากเป็นน้ำผึ้งปลอมปน น้ำผึ้งจะตกผลึกและเหนียวติดนิ้ว
  • หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู ถ้าเป็น้ำผึ้งปลอม หยดน้ำเชื่อมจะขยายเป็นวงกว้างและกระจายออกเร็วกว่าน้ำผึ้งจริง
  • หยดน้ำผึ้งลงในน้ำ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้น้ำผึ้งจะคงตัวเป็นก้อนก่อนแล้วจึงค่อยๆละลายไป
  • ตักน้ำผึ้งแล้วหยดลง น้ำผึ้งแท้จะไหลเป็นสาย มีใยบางๆไม่ขาดสาย และจะพับกองเป็นชั้นก่อนจะรวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว
  • ทดสอบโดยการผสมน้ำผึ้งกับน้ำชาจีน โดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำชาจีนครึ่งแก้วคนให้เข้ากันแล้ววางทิ้งไว้ ถ้าชามีดำคล้ำ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งปลอม เพราะถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้น้ำชาจะไม่เปลี่ยนสี
  • เมื่อน้ำผึ้งเก็บไว้ตู้เย็นน้ำผึ้งจะมีผลึกน้ำตาลเป็นเกร็ดเล็กๆ
  • น้ำผึ้งแท้มดจะไม่ขึ้น
  • เทน้ำผึ้งลงในฝามือ ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้เวลาล้างออก จะล้างออกได้ง่ายไม่เหนียวเหนอะหนะติดมือ
  • จุ่มหัวไม้ขีดไฟลงบนน้ำผึ้งถ้าจุดไฟติดแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งแท้

ข้อควรระวังในการใช้น้ำผึ้ง

ถึงน้ำผึ้งจะมีประโยชน์มากมายแต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ไม่เหมาะกับการทานน้ำผึ้ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน โดยเเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาหารแพ้ละอองของเกสรดอกไม้ อาจทำให้เกิดผื่นแดง จึงควรทดสอบก่อนใช้เสียก่อน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน อย่าคิดว่าน้ำผึ้งปลอดภัยทานได้ โดยไม่ต้องควบคุม เพราะต้องไม่ลืมว่าน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลหลายชนิด จึงจำเป็นที่ต้องควบคุมปริมาณในการทานเช่นเดียวกับความหวานจากแหล่งอื่น
นอกจากนี้ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีไม่ควรทานน้ำผึ้ง และต้องมั่นใจว่าน้ำผึ้งนั้นสะอาด ได้มาจากแหล่งที่ปลอดภัยถูกหลักอนามัย ต้องระมัดระวังการบนเปื้อน โดยเฉพาะการนำน้ำผึ้งมาใช้ในการรักษาและสมานแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเกิดการลุกลามเน่าเปื่อยได้

เรียบเรียง: lovefitt.comcredit: doctor.or.th, bellwilanda.blogspot.com, ndb.nal.usda.gov, it-gateways.com, thaihealth.or.th